8.04.2560

สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง เบื่อที่จะเป็นเหยื่อการตลาด (เครื่องสำอาง, สกินแคร์)

สวัสดีค่า วันนี้จะมาแชร์ไอเดียการช็อปปิ้ง เผื่อจะเป็นการช่วยประหยัดตังค์ในกระเป๋าเพื่อนๆ เราเป็นคนคิดเยอะมาก เวลาจะซื้อพวกสกินแคร์หรือเครื่องสำอาง (ขนาดคิดเยอะยังงอกใหม่เรื่อย)

เรามองว่าบางชิ้นไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้นก็ได้ ทางแบรนด์ที่ต้องการขายสินค้า ก็นำสินค้าออกมากระตุ้น สร้างความอยากซื้อ โดยวิธีต่างๆ ทั้ง PR News, Sponsored review ยิ่งเราอยู่ในยุคโซเชียลมีเดีย ทั้ง facebook, ig, YouTube, Beauty Blogger ด้วย เอาจริงๆเว็บพวกคอมมูนิตี้ที่ผู้บริโภคมาแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็เป็นช่องทางที่ทางแบรนด์ใช้ให้เกิดการกระตุ้นให้คนอยากซื้ออีกทาง ถ้าจิตไม่แข็ง ก็ต้องตกเป็นทาสการตลาด เสียเงินกระเป๋าฉีก

หลังๆเจอบล็อกเกอร์ต่างประเทศที่เค้ารีวิวแบบจริงใจ ก็รู้ถึงความแตกต่างชัดเจนกับบล็อกเกอร์บ้านเราบางท่าน เลิกซื้อตามการโปรโมทแบบฮาร์ดเซลล์ ซึ่งเอาจริงๆบางคนที่เค้ามีเครื่องสำอางใหม่ตลอดเวลาและมีหลายๆชิ้น หรือใช้ของแพงๆในคลิปสอนแต่งหน้า หรือคลิปรีวิวสกินแคร์ บางชิ้นเค้าได้รับของมาฟรี เผลอๆได้ฟรีทุกชิ้น เดี๋ยวนี้ง่ายมาก รีวิวสกินแคร์ความเห็นแทบจะตรงกันหมด บอกสรรพคุณคำเคลมทางแบรนด์มากกว่ารีวิวใส่ความเห็นส่วนตัวจริงๆหลังใช้ บางทีบอกแต่ข้อดีแล้วละข้อเสียไว้ ประเด็นต่อมาคือถ้าได้สินค้ามาฟรีๆ ก็ไม่กล้ารีวิวให้ผลลัพธ์ออกมาในแง่ไม่ดี เป็นความลำบากใจของบล็อกเกอร์ที่ส่งผลกระทบมากกับผู้บริโภคแบบเราๆ บางชิ้นที่ใช้ถ้าต้องเสียเงินซื้อเอง เราว่าเค้าอาจไม่คิดจะซื้อของชิ้นที่กำลังโปรโมทก็ได้นะคะ แล้วที่เจอบ่อยๆคือบางคนทำงานชุ่ย ไม่รู้เอเจนซี่และแบรนด์ปล่อยผ่านได้ไง

เราต้องปกป้องผลประโยชน์ของเรา เชื่อตัวเองก่อนจะเชื่อคนอื่นค่ะ เพราะเราคือคนที่เสียเงินซื้อ ทางแบรนด์ไม่ได้ให้เราใช้ฟรีๆค่ะ อันนี้ไม่ได้เหมารวมบิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนนะคะ ที่รีวิวแบบจริงใจก็มีมากค่ะ เอาจริงๆที่เราคิดว่าที่เป็นประโยชน์มาก คือการสวอชสีพวกเมคอัพแบบไม่ต้องใส่ความเห็นส่วนตัวที่บอกแต่ข้อดีล้วนๆลงไป หลายท่านทำงานเนี๊ยบ ดูแล้วนำไปใช้ตัดสินใจว่าจะซื้อหรือเปล่าได้แบบไม่กระอักกระอ่วนค่ะ 

อยากให้เพื่อนๆนึกก่อนซื้อว่าอะไรที่เรามีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหลายๆชิ้น อะไรที่เราจำเป็นต้องซื้อจริงๆ ส่วนของที่คนอื่นกระตุ้นให้เราอยากซื้อ ถ้าไม่ใช่ของที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องมี ให้ใช้สติดีๆคิดมากๆ หารีวิวที่เที่ยงตรง ลองที่เคาน์เตอร์แบบจริงจังก่อนซื้อนะคะ

สำหรับเราของที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพง ได้แก่

1. Lip Gloss

เอาจริงๆลิปกลอสเป็นสิ่งที่สีอ่อนมาก แทบจะไม่ออกสี แถมติดไม่ทน ไม่กี่ชั่วโมงก็หลุด ลองใช้จริงๆพบว่า คุณภาพแทบไม่ต่างมากระหว่างแบรนด์ดังๆแพงๆ กับแบรนด์ดรักส์สโตร์ ราคาถูก ลงทุนซื้อลิปสติกดีๆ ดีกว่ามาเสียเงินกับลิปกลอสแพงๆค่า

2. ครีมกันแดด

คุณปูเป้ Pupe so sweet ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซค์ของ Cleo Thailand ว่าของที่ไม่ต้องจ่ายแพงคือครีมกันแดดและโฟมล้างหน้าค่า เพราะกันแดดส่วนผสมตั้งต้นสำคัญๆ สารกันแดดอะไรคล้ายกัน ที่เหลือคือค่าแบรนด์ดิ้ง ความเห็นส่วนตัวเราคิดว่า ถ้าจะให้กันแดดได้ดีจริงๆ ต้องใช้ปริมาณเยอะตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง ถ้าซื้อแพงๆ ปริมาณต่อขวดน้อยๆ  บางคนซื้อมาแล้วกลัวหมดเร็ว เลยทานิดเดียว สู้ใช้ราคาไม่สูงมาก เราจะได้กล้าทาเยอะในปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่าค่ะ อีกข้อคือถ้าราคาไม่สูงมาก เรายังสามารถซื้อได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ กันแดดเนี่ยจำเป็นมาก ควรทาทุกวัน แม้อยู่ในร่ม และควรทาซ้ำทุกสองชั่วโมง ไม่ก็ทาซ้ำซักครั้งระหว่างวัน สำหรับเราจะไม่ยอมจ่ายเงินซื้อ กันแดดที่ราคาแพงกว่า 1,500 บาท ในปริมาณไม่เกิน 30  ml เราจะเมินเลยค่ะ


3. คลีนซิ่งทำความสะอาดเครื่องสำอางและโฟมล้างหน้า

อันนี้คุณปูเป้ ก็ให้ความเห็นในเว็บไซค์ของ Cleo Thailand เช่นกัน กับโฟมล้างหน้า ซึ่งของพวกนี้จะอยู่หน้าเราแค่ไม่กี่นาทีค่ะ จะบอกว่า Bioderma ที่เราฮิตกัน ที่ราคาสูงๆในวัตสัน ที่ฝรั่งเศสเค้าขายแพ็คคู่ ตกราคาขวดละไม่เกิน 400 บาทค่ะ เป็นของถูกและดีบ้านเค้า รวมถึง Cleansing oil หลายแบรนด์มีการบวกราคาจากประเทศที่ผลิตแพงมากๆ เราต้องจ่ายแพงมหาศาลเกินมูลค่าจริง ให้เพื่อนๆลองตามหาคลีนซิ่งราคาไม่แพง ที่ใช้ดีดูก่อนจะไปซื้อหาแพงๆ เก็บเงินไปเน้นสารบำรุงพวกซีรั่มอะไร ที่มันอยู่บนผิวเรานานๆ ดีกว่ามาคาดหวังจากคลีนซิ่งและโฟม ส่วนโฟมเหตุผลเดียวกับคลีนซิ่ง แถมโฟมเนี่ย  ต้องล้างออกเร็วกว่าคลีนซิ่งอีกค่ะ

4. Cushion

คุชชั่นเป็นเทรนด์ที่ฮิตติดลมบนมาอย่างยาวนาน สาวๆเกาหลีหน้าวาวสวยกันจริงๆ แต่เราคิดว่าคุชชั่นเนี่ยไม่ควรค่าแก่การลงทุนด้วยเหตุผลหลายประการค่ะ เริ่มจากโดยเฉพาะการซื้อคุชชั่นไฮเอนด์แบรนด์ทั้งจากยุโรปและอเมริกาเนี่ย จะบอกว่าต่อให้แบรนด์ไหนก็ made in Korea ทั้งนั้นค่ะ แล้วพวกไฮเอนด์แบรนด์เค้าจะไม่แถมรีฟิลแบบแบรนด์เกาหลีค่ะ แล้วด้วยราคาเนี่ยคุชชั่นจากไฮเอนด์แบรนด์แพงมาก แต่ปริมาณน้อยสุดๆ ใช้ทุกวันมากสุดเราให้สองเดือนก็หมดแล้วค่ะ ด้วยราคาและปริมาณสู้เอาเงินไปซื้อรองพื้นเลยดีกว่า คุ้มกว่าเยอะ  แถมยังได้รองพื้นที่ made in ประเทศของแบรนด์โดยตรง เช่น France, USA, UK, Italy, Japan เป็นต้นค่ะ

ถ้าใครจะซื้อจริงๆ แนะนำให้ซื้อแบรนด์เกาหลีไปเลยดีกว่า เพราะยังไงแบรนด์ไหนก็ผลิตโรงงานเกาหลี แถมแบรนด์เกาหลีเนี่ยยังแถมรีฟิลเพิ่มให้อีกหนึ่งอัน แต่มีเหตุผลอีกที่ไม่สนับสนันให้ซื้อคุชชั่นราคาแพงคือ คุชชั่นไม่เหมาะกับอากาศร้อนบ้านเรา ถ้าใครเลยพลิกดูเนื้อคุชชั่นใต้ฟองน้ำในตลับคุชชั่น จะรู้ว่ามันข้นๆและมัน เพราะโดยมากคุชชั่นจะผสมพวกน้ำมันให้หน้าวาว อีกข้อคือเรื่องความสะอสด คุชชั่นเป็นอะไรที่ดูหมักหมมมาก พัฟก็ซักยาก ยิ่งใครพกไปเติมข้างนอกด้วยค่ะ

5. มาสคาร่าและอายไลเนอร์

ทั้งสองอย่างสามารถหาแบบคุณภาพดี ทนน้ำ ทนเหงื่อ ได้ ในราคาไม่เกิน 500 บาท ดรักสโตร์ดีๆเพียบ แล้วจะต้องจ่ายแพงไปเพื่ออะไรคะ

6. กระจกค่ะกระจก

เราเคลิ้มเกือบสติหลุดซื้อกระจกจาก Jill Stuart เพราะแพ็คเกจจิ้งสวยมาก แต่ดีที่ดึงสติทัน กระจกไหนๆมันก็เหมือนกันหมดนะคะ เครื่องสำอางบางอันมีกระจกในตัวก็เอามาใช้ส่องได้ค่า เราเอาเงินซื้อกระจกไปสอยอย่างอื่นที่มันใช้งานได้จริงๆจังๆดีกว่าค่ะ อีกส่วนคือบางแบรนด์เค้าจะแถมกระจกที่มีชื่อแบรนด์ติดอยู่กับกระจก ถ้าเราซื้อสินค้ายอดเยอะๆ แต่อย่าลืมค่ะ ว่ากระจกก็คือกระจก

7. น้ำยาล้างแปรง

อันนี้ประสบการจริงจากเราเอง เราซื้อน้ำยาล้างแปรง MAC มาดองไว้ ส่วนมากใช้แชมพูเด็กเฉยเลย ถ้าจะซักแห้งบางทีเราสามารถใช้คลีนแบบน้ำเทใส่ทิชชู่ เช็ดๆแล้วผึ่งๆไว้ก็ได้ ถ้าจะล้างจริงจังก็ใช้แชมพูเด็ก แชมพูทั่วๆไป ล้างสะอาด ขนนุ่มปกติค่ะ คือส่วนผสมน้ำยาล้างแปรงอาจดีในแง่ที่มีแอลกอฮอล์ล้างแห้งสะดวก แต่คิดว่าเป็นไอเท็มที่เหมาะกับช่างแต่งหน้า ที่ต้องรีบล้างแปรงใช้ตลอดเวลามากกว่า ฟีลเดียวกับคลีนซิ่งแบบทิชชู่เลยค่ะ เพื่อนๆอาจเลือกใช้น้ำยาล้างแปรงแบรนด์อื่นๆที่ถูกกว่า MAC แชมพูก็ได้ค่ะ

จบแล้วค่ะ จริงๆบล็อกนี้ส่วนนึงเขียนไว้เตือนตัวเองด้วยค่ะ :)