DIORSKIN STAR
STUDIO MAKEUP - SPECTACULAR BRIGHTENING
WEIGHTLESS PERFECTION - LONG WEAR - BROAD SPECTRUM SPF 30
ปริมาณ 30 ml, ราคา 2,400 บาท
ก่อนอื่นเราขอพูดแบบจริงจังเรื่องราคาเป็นสิ่งแรก เพราะส่วนตัวไม่สนับสนุนการถือโอกาสขึ้นราคาทีละมากๆของทุกแบรนด์ และการตั้งราคาแพงแบบเกินไปมากๆ ราคารองพื้น Dior ถือว่าโหดมาก มาSephora อเมริกา ราคา $50.00 (ประมาณ 1,700-1,800 บาท) ญี่ปุ่นประเทศที่ค่าครองชีพแพงกว่าบ้านเราแบบโหดมาก ราคา 6,480 เยน (ประมาณ 1,900-2,100 บาท ) ราคาไม่หนีอเมริกาและขายถูกกว่าบ้านเราอีก ราคาเคาน์เตอร์ไทย 2,400 บาท เมื่อปีก่อนๆราคา 2,000 บาท มีการปรับราคาขึ้นเยอะมาก รองพื้นหลายแบรนด์ราคาที่ประเทศเค้าพอๆกับ Dior หรือแพงกว่ากลับตั้งราคาได้ถูกกว่า Dior ซึ่งบางแบรนด์ราคาตั้งราคาดีมาก คือไม่ใช่ถูกนะคะ แต่ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่รับได้ ทำให้อยากพุ่งตัวไปซื้อเคาน์เตอร์เลยจริงๆ ซึ่งเพื่อนๆอาจสามารถหารองพื้นที่ราคาไม่แพงเท่า Dior แล้วให้ลุคประมาณนี้ได้ แถมอาจชอบกว่ารองพื้น Dior ก็ได้ค่ะ
สภาพผิวเรา : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง
เนื้อสัมผัส
ปั๊มออกมาเนื้อรองพื้นเป็นแบบครีมที่มีความจับตัวกันเป็นก้อนแน่นๆ ที่มีความข้นหนืดของเนื้อรองพื้น ไม่ได้เป็นเนื้อเหลวๆ ต้องใช้ความว่องไวในการทาเพราะรองพื้นเซ็ทตัวเร็วมาก ไม่เหมาะกับการใช้แปรง หรือใช้มือปาดๆ เพราะจะดูหนาไป เนื้อมีความข้นทาแล้วลากไม่ไป ผลออกมาจะไม่สม่ำเสมอ ถ้าใช้มือต้อง กดๆ ตบๆ สรุปคือเหมาะกับการใช้ฟองน้ำที่สุดค่ะ เนื้อรองพื้นลักษณะนี้ ต้องเตรียมผิวดีๆค่ะ ถ้าใครบำรุงผิวไม่ดี หรือผิวขาดน้ำ ตอนลงรองพื้น อาจไม่สมูท แต่งหน้าไม่ติดค่ะ
ผลลัพธ์บนผิว
เมื่อแรกทา
พอเจอเนื้อสัมผัสตอนแรกก็แอบเฟล กลัวจะเป็นรองพื้นที่หนาๆหนักๆ เพราะปกติเราจะชอบแบบลิขวิด ที่เกลี่ยง่าย ซึ่งตอนแรก ถ้าใช้มือกับแปรงจะดูหนาๆ เหมือนรองพื้นกองกันบนผิว ใช้กับฟองน้ำดีที่สุดจริงๆ พอใช้ฟองน้ำลงรองพื้นจะถูกเบลนด์จนกลืนไปกับผิว เนื้อรองพื้นเซ็ทตัวแบบ Demi-Matt รองพื้นให้การปกปิดระดับปานกลาง พรางรูขุมขนได้ดี หน้าดูเนียนละเอียด รองพื้นกระจายแสงดี มีเอฟเฟกต์ความโกลวแบบพอดีๆ ทำให้ผิวดูมีมิติ เมื่อรองพื้นเซ็ทตัวจะรู้สึกเนียนกว่าเดิม ยิ่งใช้แป้งฝุ่น มาเซ็ทจะยิ่งดูเนียน ทาแล้วมีความกริบเนี๊ยบแบบดูรู้ว่าทารองพื้น แต่ไม่หนาจนถึงขั้นเคกกี้ ไม่มีการตกร่องรูขุมขน ไม่มีการไปเน้นหรือตกร่องริ้วรอยต่างๆ ตรงนี้ถือว่าดีมาก
ระหว่างวัน
รู้สึกชอบผิวตอนนี้มากกว่าตอนทาใหม่ๆเพราะเมื่อมีน้ำมันจากผิวมาผสมรวมกับรองพื้น รองพื้นเหมือนหลอมละลายกลืนไปกับผิวมากขึ้น เนื้อรองพื้นจาก Demi-Matte กลายเป็นแบบเนื้อ Satin ให้ลุคธรรม-ชาติมากขึ้น ผิวดูสวยกว่าตอนทาใหม่ๆอีกค่ะ มีการเพิ่มขึ้นของเอฟเฟกต์ผิวโกลว แต่ไม่ได้ทำให้ผิวดูมันหน้าเปียกแบบสาวเกาหลี รู้สึกชอบผิวตัวเองระหว่างวัน มากกว่าตอนทาแรกๆ รองพื้นตัวนี้ไม่คุมมัน ทีโซนเรามันขึ้นปกติ ต้องซับมันพอสมควร แต่รองพื้นไม่ได้ดูเละเทะบนหน้า ส่วนข้างแก้มที่ผิวแห้งมีความเฟรชตอนเหมือนทาใหม่ๆและระหว่างวันไม่มีการตกร่องรูขุมขนหรือ Fine line ถือเป็นรองพื้นที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่เริ่มแต่งหน้าไปจนล้างออก แต่ก็มีการไหลหลุดของรองพื้น
เรื่องความติดทน, การดรอป, และการเกิดคราบล่ะ?
ความติดทนที่ว่านี้ วัดจากผิวเราซึ่งเป็นผิวผสม และไม่ได้ใช้ไพรเมอร์นะคะ ถ้าทำงานห้องแอร์ คิดว่าติดทนประมาณ 8-9 ชั่วโมง แต่ถ้ามีการออกไปข้างนอก แดดร้อน อากาศร้อนๆ เหงื่อออก ติดทนประมาณ 6 -7 ชั่วโมง แล้วจะมีรองพื้นหลุดตรงบริเวณทีโซน ที่เป็นจุดที่ผิวมันของเรา โดยเฉพาะจมูกที่หลุดออกไปเกือบหมด ถ้ามีไพรเมอร์ก็น่าจะทำให้รองพื้นติดทนนานกว่านี้ ข้อดีของรองพื้นคือไม่เป็นคราบและตกร่องเลยระหว่างวัน ขนาดใส่แว่นกันแดด แค่เอานิ้วกดๆตบๆตรงบริเวณข้างจมูกที่ใส่แว่น ก็กลับมาเนียนกลืนกับผิวเหมือนเดิม เคยโดนน้ำ จากการกระหน่ำฉีดสเปรย์น้ำแร่ ก็ไม่ไหลเป็นคราบน้ำ แต่ก็มีหลุดๆไปเวลาซับหน้า มีการดรอป Oxidized ระหว่างวันบ้าง ถ้าช่วงไหนพักผ่อนน้อย ผิวเครียดแต่น้อยมากๆ ที่เราเจอวันที่ทาแล้วดรอป
คะแนน
- เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 3/5
- ปกปิด : 4.5/5
- ความธรรมชาติ : 3/5
- ฟินิชลุคบนผิว : 4.5/5
- ติดทน : 4/5
- ควบคุมความมัน : 2/5
- ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 3/5
"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ ถ้ามีโอกาส ควรลองก่อนซื้อค่ะ"