8.04.2560

สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง เบื่อที่จะเป็นเหยื่อการตลาด (เครื่องสำอาง, สกินแคร์)

สวัสดีค่า วันนี้จะมาแชร์ไอเดียการช็อปปิ้ง เผื่อจะเป็นการช่วยประหยัดตังค์ในกระเป๋าเพื่อนๆ เราเป็นคนคิดเยอะมาก เวลาจะซื้อพวกสกินแคร์หรือเครื่องสำอาง (ขนาดคิดเยอะยังงอกใหม่เรื่อย)

เรามองว่าบางชิ้นไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้นก็ได้ ทางแบรนด์ที่ต้องการขายสินค้า ก็นำสินค้าออกมากระตุ้น สร้างความอยากซื้อ โดยวิธีต่างๆ ทั้ง PR News, Sponsored review ยิ่งเราอยู่ในยุคโซเชียลมีเดีย ทั้ง facebook, ig, YouTube, Beauty Blogger ด้วย เอาจริงๆเว็บพวกคอมมูนิตี้ที่ผู้บริโภคมาแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็เป็นช่องทางที่ทางแบรนด์ใช้ให้เกิดการกระตุ้นให้คนอยากซื้ออีกทาง ถ้าจิตไม่แข็ง ก็ต้องตกเป็นทาสการตลาด เสียเงินกระเป๋าฉีก

หลังๆเจอบล็อกเกอร์ต่างประเทศที่เค้ารีวิวแบบจริงใจ ก็รู้ถึงความแตกต่างชัดเจนกับบล็อกเกอร์บ้านเราบางท่าน เลิกซื้อตามการโปรโมทแบบฮาร์ดเซลล์ ซึ่งเอาจริงๆบางคนที่เค้ามีเครื่องสำอางใหม่ตลอดเวลาและมีหลายๆชิ้น หรือใช้ของแพงๆในคลิปสอนแต่งหน้า หรือคลิปรีวิวสกินแคร์ บางชิ้นเค้าได้รับของมาฟรี เผลอๆได้ฟรีทุกชิ้น เดี๋ยวนี้ง่ายมาก รีวิวสกินแคร์ความเห็นแทบจะตรงกันหมด บอกสรรพคุณคำเคลมทางแบรนด์มากกว่ารีวิวใส่ความเห็นส่วนตัวจริงๆหลังใช้ บางทีบอกแต่ข้อดีแล้วละข้อเสียไว้ ประเด็นต่อมาคือถ้าได้สินค้ามาฟรีๆ ก็ไม่กล้ารีวิวให้ผลลัพธ์ออกมาในแง่ไม่ดี เป็นความลำบากใจของบล็อกเกอร์ที่ส่งผลกระทบมากกับผู้บริโภคแบบเราๆ บางชิ้นที่ใช้ถ้าต้องเสียเงินซื้อเอง เราว่าเค้าอาจไม่คิดจะซื้อของชิ้นที่กำลังโปรโมทก็ได้นะคะ แล้วที่เจอบ่อยๆคือบางคนทำงานชุ่ย ไม่รู้เอเจนซี่และแบรนด์ปล่อยผ่านได้ไง

เราต้องปกป้องผลประโยชน์ของเรา เชื่อตัวเองก่อนจะเชื่อคนอื่นค่ะ เพราะเราคือคนที่เสียเงินซื้อ ทางแบรนด์ไม่ได้ให้เราใช้ฟรีๆค่ะ อันนี้ไม่ได้เหมารวมบิวตี้บล็อกเกอร์ทุกคนนะคะ ที่รีวิวแบบจริงใจก็มีมากค่ะ เอาจริงๆที่เราคิดว่าที่เป็นประโยชน์มาก คือการสวอชสีพวกเมคอัพแบบไม่ต้องใส่ความเห็นส่วนตัวที่บอกแต่ข้อดีล้วนๆลงไป หลายท่านทำงานเนี๊ยบ ดูแล้วนำไปใช้ตัดสินใจว่าจะซื้อหรือเปล่าได้แบบไม่กระอักกระอ่วนค่ะ 

อยากให้เพื่อนๆนึกก่อนซื้อว่าอะไรที่เรามีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีหลายๆชิ้น อะไรที่เราจำเป็นต้องซื้อจริงๆ ส่วนของที่คนอื่นกระตุ้นให้เราอยากซื้อ ถ้าไม่ใช่ของที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องมี ให้ใช้สติดีๆคิดมากๆ หารีวิวที่เที่ยงตรง ลองที่เคาน์เตอร์แบบจริงจังก่อนซื้อนะคะ

สำหรับเราของที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพง ได้แก่

1. Lip Gloss

เอาจริงๆลิปกลอสเป็นสิ่งที่สีอ่อนมาก แทบจะไม่ออกสี แถมติดไม่ทน ไม่กี่ชั่วโมงก็หลุด ลองใช้จริงๆพบว่า คุณภาพแทบไม่ต่างมากระหว่างแบรนด์ดังๆแพงๆ กับแบรนด์ดรักส์สโตร์ ราคาถูก ลงทุนซื้อลิปสติกดีๆ ดีกว่ามาเสียเงินกับลิปกลอสแพงๆค่า

2. ครีมกันแดด

คุณปูเป้ Pupe so sweet ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซค์ของ Cleo Thailand ว่าของที่ไม่ต้องจ่ายแพงคือครีมกันแดดและโฟมล้างหน้าค่า เพราะกันแดดส่วนผสมตั้งต้นสำคัญๆ สารกันแดดอะไรคล้ายกัน ที่เหลือคือค่าแบรนด์ดิ้ง ความเห็นส่วนตัวเราคิดว่า ถ้าจะให้กันแดดได้ดีจริงๆ ต้องใช้ปริมาณเยอะตามเกณฑ์ที่ถูกต้อง ถ้าซื้อแพงๆ ปริมาณต่อขวดน้อยๆ  บางคนซื้อมาแล้วกลัวหมดเร็ว เลยทานิดเดียว สู้ใช้ราคาไม่สูงมาก เราจะได้กล้าทาเยอะในปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่าค่ะ อีกข้อคือถ้าราคาไม่สูงมาก เรายังสามารถซื้อได้ต่อเนื่องเรื่อยๆ กันแดดเนี่ยจำเป็นมาก ควรทาทุกวัน แม้อยู่ในร่ม และควรทาซ้ำทุกสองชั่วโมง ไม่ก็ทาซ้ำซักครั้งระหว่างวัน สำหรับเราจะไม่ยอมจ่ายเงินซื้อ กันแดดที่ราคาแพงกว่า 1,500 บาท ในปริมาณไม่เกิน 30  ml เราจะเมินเลยค่ะ


3. คลีนซิ่งทำความสะอาดเครื่องสำอางและโฟมล้างหน้า

อันนี้คุณปูเป้ ก็ให้ความเห็นในเว็บไซค์ของ Cleo Thailand เช่นกัน กับโฟมล้างหน้า ซึ่งของพวกนี้จะอยู่หน้าเราแค่ไม่กี่นาทีค่ะ จะบอกว่า Bioderma ที่เราฮิตกัน ที่ราคาสูงๆในวัตสัน ที่ฝรั่งเศสเค้าขายแพ็คคู่ ตกราคาขวดละไม่เกิน 400 บาทค่ะ เป็นของถูกและดีบ้านเค้า รวมถึง Cleansing oil หลายแบรนด์มีการบวกราคาจากประเทศที่ผลิตแพงมากๆ เราต้องจ่ายแพงมหาศาลเกินมูลค่าจริง ให้เพื่อนๆลองตามหาคลีนซิ่งราคาไม่แพง ที่ใช้ดีดูก่อนจะไปซื้อหาแพงๆ เก็บเงินไปเน้นสารบำรุงพวกซีรั่มอะไร ที่มันอยู่บนผิวเรานานๆ ดีกว่ามาคาดหวังจากคลีนซิ่งและโฟม ส่วนโฟมเหตุผลเดียวกับคลีนซิ่ง แถมโฟมเนี่ย  ต้องล้างออกเร็วกว่าคลีนซิ่งอีกค่ะ

4. Cushion

คุชชั่นเป็นเทรนด์ที่ฮิตติดลมบนมาอย่างยาวนาน สาวๆเกาหลีหน้าวาวสวยกันจริงๆ แต่เราคิดว่าคุชชั่นเนี่ยไม่ควรค่าแก่การลงทุนด้วยเหตุผลหลายประการค่ะ เริ่มจากโดยเฉพาะการซื้อคุชชั่นไฮเอนด์แบรนด์ทั้งจากยุโรปและอเมริกาเนี่ย จะบอกว่าต่อให้แบรนด์ไหนก็ made in Korea ทั้งนั้นค่ะ แล้วพวกไฮเอนด์แบรนด์เค้าจะไม่แถมรีฟิลแบบแบรนด์เกาหลีค่ะ แล้วด้วยราคาเนี่ยคุชชั่นจากไฮเอนด์แบรนด์แพงมาก แต่ปริมาณน้อยสุดๆ ใช้ทุกวันมากสุดเราให้สองเดือนก็หมดแล้วค่ะ ด้วยราคาและปริมาณสู้เอาเงินไปซื้อรองพื้นเลยดีกว่า คุ้มกว่าเยอะ  แถมยังได้รองพื้นที่ made in ประเทศของแบรนด์โดยตรง เช่น France, USA, UK, Italy, Japan เป็นต้นค่ะ

ถ้าใครจะซื้อจริงๆ แนะนำให้ซื้อแบรนด์เกาหลีไปเลยดีกว่า เพราะยังไงแบรนด์ไหนก็ผลิตโรงงานเกาหลี แถมแบรนด์เกาหลีเนี่ยยังแถมรีฟิลเพิ่มให้อีกหนึ่งอัน แต่มีเหตุผลอีกที่ไม่สนับสนันให้ซื้อคุชชั่นราคาแพงคือ คุชชั่นไม่เหมาะกับอากาศร้อนบ้านเรา ถ้าใครเลยพลิกดูเนื้อคุชชั่นใต้ฟองน้ำในตลับคุชชั่น จะรู้ว่ามันข้นๆและมัน เพราะโดยมากคุชชั่นจะผสมพวกน้ำมันให้หน้าวาว อีกข้อคือเรื่องความสะอสด คุชชั่นเป็นอะไรที่ดูหมักหมมมาก พัฟก็ซักยาก ยิ่งใครพกไปเติมข้างนอกด้วยค่ะ

5. มาสคาร่าและอายไลเนอร์

ทั้งสองอย่างสามารถหาแบบคุณภาพดี ทนน้ำ ทนเหงื่อ ได้ ในราคาไม่เกิน 500 บาท ดรักสโตร์ดีๆเพียบ แล้วจะต้องจ่ายแพงไปเพื่ออะไรคะ

6. กระจกค่ะกระจก

เราเคลิ้มเกือบสติหลุดซื้อกระจกจาก Jill Stuart เพราะแพ็คเกจจิ้งสวยมาก แต่ดีที่ดึงสติทัน กระจกไหนๆมันก็เหมือนกันหมดนะคะ เครื่องสำอางบางอันมีกระจกในตัวก็เอามาใช้ส่องได้ค่า เราเอาเงินซื้อกระจกไปสอยอย่างอื่นที่มันใช้งานได้จริงๆจังๆดีกว่าค่ะ อีกส่วนคือบางแบรนด์เค้าจะแถมกระจกที่มีชื่อแบรนด์ติดอยู่กับกระจก ถ้าเราซื้อสินค้ายอดเยอะๆ แต่อย่าลืมค่ะ ว่ากระจกก็คือกระจก

7. น้ำยาล้างแปรง

อันนี้ประสบการจริงจากเราเอง เราซื้อน้ำยาล้างแปรง MAC มาดองไว้ ส่วนมากใช้แชมพูเด็กเฉยเลย ถ้าจะซักแห้งบางทีเราสามารถใช้คลีนแบบน้ำเทใส่ทิชชู่ เช็ดๆแล้วผึ่งๆไว้ก็ได้ ถ้าจะล้างจริงจังก็ใช้แชมพูเด็ก แชมพูทั่วๆไป ล้างสะอาด ขนนุ่มปกติค่ะ คือส่วนผสมน้ำยาล้างแปรงอาจดีในแง่ที่มีแอลกอฮอล์ล้างแห้งสะดวก แต่คิดว่าเป็นไอเท็มที่เหมาะกับช่างแต่งหน้า ที่ต้องรีบล้างแปรงใช้ตลอดเวลามากกว่า ฟีลเดียวกับคลีนซิ่งแบบทิชชู่เลยค่ะ เพื่อนๆอาจเลือกใช้น้ำยาล้างแปรงแบรนด์อื่นๆที่ถูกกว่า MAC แชมพูก็ได้ค่ะ

จบแล้วค่ะ จริงๆบล็อกนี้ส่วนนึงเขียนไว้เตือนตัวเองด้วยค่ะ :)




7.29.2560

Review : คุ้มรึเปล่ากับคุชชั่นราคาแพงๆ : Dior Forever Perfect Cushion // Sulwhasoo Perfecting Cushion Brightening

สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Merlinnee ซึ่งเจ้าของบล็อกเป็นคนคลั่งคสอ.มาร่วมสิบปี จนปัจจุบันเวลาจะซื้ออะไรรวบรวมสติดีขึ้น(กล้าพูดนะ 555) ถ้าใครกำลังกำเงินเพื่อไปซื้อคุชชั่น อยากให้อ่านตรงนี้ก่อนค่ะ เพื่อตั้งสติ เผื่อจะได้เซฟเงินของเพื่อนๆ
  • คุชชั่นถ้าเราทาทุกวัน สองเดือนก็หมดแล้ว ถ้ามีรีฟิลแถมมาด้วยก็เพิ่มอายุการใช้งานได้อีกนิดแต่ในพวกไฮเอนด์แบรนด์สายฝอทั้งหลายเค้าจะไม่แถมรีฟิลมาด้วย นั่นหมายความว่าเงิน 2 พันกว่าบาท ถ้าเอาไปซื้อรองพื้นในราคาเท่าๆกันกับคุชชั่น รองพื้นใช้ได้นานเกือบปี แต่ถ้าซื้อคุชชั่นใช้แป๊บเดียวก็หมด ที่สำคัญคุชชั่น Hi End ทั้งจาก ยุโรป,อเมริกา ล้วนผลิตที่เกาหลีเกือบหมด  ในขณะที่รองพื้นก็ผลิตที่ประเทศของแบรนด์ ไม่ว่าจะฝรั่งเศส,อิตาลี,อเมริกา, ฯลฯ ดังนั้นความคุ้มราคาของคุชชั่น ถ้าเทียบกับรองพื้นถือว่าไม่ผ่าน
  • ถึงเราดูซีรีส์เกาหลีแล้วจะเคลิ้มไปกับความฉ่ำวาวของทั้งพระเอก นางเอกแค่ไหน แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน(มาก) คุชชั่นโดยมากเค้าจะผสมน้ำมันที่ทำให้หน้าวาว ซึ่งใครผิวมันมากควรลองดีๆก่อนเสียทรัพย์ ไม่งั้นเมคอัพอาจพังมากกว่าปัง
  • ถ้าเป็นสิวง่าย ควรหลีกเลี่ยงคุชชั่น เพราะพัฟซักยาก ยิ่งบ้านเราร้อนจนเหงื่อไหล มีฝุ่นและควันอีก คงจะทำให้เกิดสิว ถ้าจะควักมาตบๆเติมๆระหว่างวัน
  • ใครที่ผิวมันขั้นเทพ คุชชั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถ้าเพื่อนๆลองพลิกฟองน้ำคุชชั่นดู จะรู้ว่าเนื้อคุชชั่นมีความหนืด และผสมน้ำมัน ดูข้นน้ำมันบอกไม่ถูก ถ้าหน้ามันควรซื้อรองพื้น คุชชั่นไม่เวิร์คเท่าไร

พูดกันขนาดนี้ใจเย็นๆค่ะ อย่าเพิ่งปิดหนี คุชชั่นที่เราจะนำมารีวิวต้องมีดีพอสมควร เราถึงเสียเงินซื้อ และหยิบมารีวิว โดยการรีวิวจะยึดการใช้แป้งฝุ่นเซ็ทคุชชั่น อากาศเมืองไทยคงไม่รอดถ้าทาคุชชั่นเพียวๆ


สีผิวเรา : NC 20-25 สภาพผิว : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง

ขอเริ่มจากสายเกาหลีที่เป็นต้นกำเนิดคุชชั่น เราเคยใช้ Sulwhasoo รุ่น Perfecting  ที่ออกมาเป็นตัวแรกของเค้า รู้สึกมันปกปิดมาก ดูหนาไปสำหรับเรา เกริ่นมายาวเหยียด เริ่มรีวิวกันดีกว่า ตัวนี้ซื้อเพราะเค้าเคลมว่าบางเบาและคุมมันกว่ารุ่นเก่า


"Sulwhasoo Perfecting Cushion Brightening"

ราคา 2,100 บาท (Made in Korea)



  • ได้รีฟิลคุชชั่นและพัฟมาด้วยอีกชุดตามสไตล์แบรนด์เกาหลี 
  • สีคุชชั่น เราใช้เบอร์ 23 ออกโทนเหลือง เลือกคุชชั่นเกาหลี ต้องระวังหน้าเทามากกว่าหมองค่ะ เพราะทำกันขาวมากๆ เอาจริงๆสีนี้สว่างกว่าผิวเรานิดนึงนึง แต่เบอร์ 25 ก็คล้ำไป

รูปตอนเพิ่งซื้อ ปัจจุบันเลอะเทอะมาก

เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น

เนื้อเบา ทาแล้วสม่ำเสมอดี พอเสร็จเอามือกดๆหน้า เหมือนมีความหนึบบนผิวนิดๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรบนหน้า ไม่หนักหน้า สบายผิวมากๆ เซ็ทด้วยแป้งฝุ่นแล้วไม่เป็นคราบ กลิ่นของคุชชั่นไม่ใช่โสมแบบรุ่นเก่า แต่เป็นกลิ่นเลมอน ซึ่งตอนแรกๆเกลียดกลิ่นมาก แล้วกลิ่นมันติดบนหน้านาน ได้กลิ่นหลายชั่วโมง หลังๆชิน พัฟนุ่มและยืดหยุ่นมีความไฮเอนด์ เอาไปซักแล้วไม่ยุ่ยไม่เละ 


การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว

ปกปิดระดับปานกลาง เมื่อทาตอนแรกคุชขั่นหลอมละลายไปกับผิว ไม่หนาหลอก ไม่โดดออกจากหน้า ดูธรรมชาติให้ลุคกึ่งแมตกึ่งซาติน ผิวมีความแมตแต่คุชชั่นมีการกระจายแสงดีมาก ให้ความดิวอี้ปานกลาง ไม่ถึงขั้นหน้าเปียก มีการกลบและพรางรูขุมดีขนๆมาก ทาแล้วรูขุมขนดูเล็กลงชัดเจน เบลอร่องรอยอารยธรรมต่างๆได้ดี ไม่ตกร่องใดๆทั้งรูรุมขนและริ้วรอย คุชชั่นตัวนี้ทำให้ผิวดูผ่องเด้งกว่าคุชชั่นที่เคยใช้ Brightening สมชื่อ เป็นคุชชั่นที่ทาแล้วได้ผลลัพธ์ผิวสวยจริงๆ

ระหว่างวันผิวดูดิวอี้ขึ้น แต่ไม่ได้มันเยิ้ม ซับมันดูพบว่ามีน้ำมันแค่ช่วงทีโซนออกมาแบบปกติ ส่วนข้างแก้มก็ปกติไม่มันขึ้น คุชชั่นไม่ได้ทำให้หน้ามัน ใช้แล้วหน้ามันช้าลงด้วยซ้ำ ความดิวอี้ที่เห็นไม่ได้เกิดจากน้ำมันของคุชชั่นหรือความมันของผิว แต่เกิดจากเอฟเฟกต์การกระจายแสงของคุชชั่น 


คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 4/5
  • ปกปิด : 3.5/5
  • ความธรรมชาติ : 4/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 4.5/5
  • ติดทน : 4/5
  • ควบคุมความมัน : 3/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 5/5

ซื้อต่อรึเปล่า? : ถ้าไม่มีรองพื้นในกรุงอกมากเกินไป อาจจะซื้อค่ะ




"DIORSKIN FOREVER PERFECT CUSHION"
ราคา 2,100  บาท   (Made in Korea)





  • เซ็งที่ไม่ได้รีฟิลและพัฟแถมอีกชุด เหมือนคุชชั่นเกาหลี 
  • ไม่มีซองผ้าแบบเวลาซื้อพวกแป้ง,บลัช, Eyeshadow ของ Dior
  • เราใช้เบอร์ 021(Linen) ออกโทนเหลือง พอดีผิวมากๆ กลืนกับสีผิวธรรมชาติผิวมากกว่า Sulwhasoo 

รูปตอนเพิ่งซื้อ ปัจจุบันเลอะเทอะมากไม่ต่างกับ Sulwhasoo

เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น

เนื้อคุชชั่นบางเบา เบลนด์ง่าย สม่ำเสมอดี เซ็ทตัวเร็วว่าคุชชั่นทั่วไป  กลิ่นน้ำหอมฟลอรัลแบบสไตล์ดิออร์แรงมาก ทาบนผิวแล้วเอามือแตะหน้ามีความหนึบเล็กๆ แต่น้อยกว่า Sulwhasoo  ไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรบนหน้า สบายผิวสุดๆ ที่เราไม่ปลื้มเลยคือพัฟแข็งมาก ไม่มีความยืดหยุ่น ถ้าเทียบกับ Sulwhasoo แถมพอเอาไปซักครั้งแรก ก็เละและยุ่ย ทั้งๆที่ซักเบามือ ไม่ได้ขยี้เลย บีบเบาๆไล่น้ำออกเท่านั้น ทำเอาไม่กล้าซักเท่าไร


การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว

ปกปิดระดับน้อย บิวท์ก็ไม่ถึงปานกลาง  เมื่อแรกทาให้เอฟเฟกต์แมตบนผิว แต่มีการกระจายแสงดี ทำให้หน้าดูไม่แบน เนื้อคุชชั่นบางเบามาก บางเบากว่า Sulwhasoo อีก แต่มันน่าทึ่งที่ระดับการปกปิดที่น้อยขนาดนี้ กลับสามารถทำให้ผิวดูเรียบเนียน และเบลอรูขุมขน และอารยธรรมบนใบหน้า คุชชั่นธรรมชาติมากจริงๆ แต่ก็ทำให้ผิวสวยแบบหลอมรวมกลืนไปกับผิว ในส่วนของความผ่องเด้ง Sulwhasoo ชนะ ถ้าความธรรมชาติ Dior ชนะ เรียกได้ว่าเป็นคุชชั่นงานผิวจริงๆ

ระหว่างวันผิวดูโกลวมากขึ้น โกลวแบบกำลังดี ไม่มากหรือน้อยไป ตรงข้างแก้มที่ผิวแห้งยังแมตอยู่ แต่ตรงทีโซนที่มันจะมีความเหนียวๆหนึบๆ แต่ใช้ซับมันน้อยกว่าปกติ พอซับมันแล้วก็กลับมาเฟรชเหมือนเดิม โดยรวมคือซับมันแล้วกลับมาดูแมตเหมือนเดิม


คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 5/5
  • ปกปิด : 2/5
  • ความธรรมชาติ : 5/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 4/5
  • ติดทน : 4/5
  • ควบคุมความมัน : 3.5/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 4/5
ซื้อต่อรึเปล่า? : ไม่ซื้อ เพราะไม่คุ้มราคาเท่าไร แต่อาจไปซื้อรองพื้น Dior ที่เป็นไลน์ Forever เหมือนกันไว้แล้ว ไว้จะมารีวิวให้อ่านกันนะคะ


สรุป 

ถ้าเพื่อนๆชอบแบบธรรมชาติมากๆ บางเบา,สบายผิว,แต่ก็ยังพรางรูขุมขน,เบลอร่องรอยต่างๆบนใบหน้า ผิวสวยแบบจับไม่ได้ว่าโบ๊ะ และต้องการความติดทนก็เลือก Dior แต่ถ้าชอบปกปิดขึ้นมาหน่อย,ชอบผิวผ่องเด้ง,กระจายแสงดีมาก ปรับผิวให้สวยขึ้นอีกหลายสเต็ป ให้เลือก Sulwhasoo




"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ"

7.20.2560

Anti haul! เครื่องสำอางและสกินแคร์อะไรบ้างที่จะไม่ซื้อ Sulwhasoo, DIOR, CHANEL, Fresh

สวัสดีค่ะ หัวข้อนี้ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก Kimbery Clark (Youtube Channel ของ Kimberly) ที่มีคำพูดติดปากและเป็นหัวข้อที่ดังชื่อว่า Anti haul! What I'm not gonna buyหนึ่งในบล็อกเกอร์ต่างชาติที่เราชอบมาก เค้าดังมากในการทำคลิป Anti haul ซึ่งจะคนละขั้วกับ Haul ที่เอาของที่ Shopping มาเห่อ ส่วน Anti haul จะประมาณว่า มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่จะไม่ซื้อ พร้อมเหตุผลค่ะ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่ซื้อ ในฐานะผู้บริโภคที่มีสิทธิ์เลือก
ต่อมาบล็อกเกอร์บ้านเราที่ทำหัวข้อ Anti haul คือคุณสาลี่ MaiRuuDee ซึ่งคุณสาลี่คือบล็อกเกอร์ที่เราชอบและติดตามมาต่อเนื่อง เธอคือบล็อกเกอร์ที่ผู้บริโภคแบบเราๆต้องการและควรติดตาม คุณสาลี่รีวิวของต่างๆแบบตรงไปตรงมา และพูดรู้เรื่องเข้าใจ ดูแล้วเอามาประกอบการตัดสินใจได้
เราว่าเอาจริงๆทั้ง Kimbery และคุณสาลี่ เค้าเซฟเงินคนที่ดูคลิปเค้านะคะ ให้ไม่ต้องเสียเงินไปกับของที่ไม่เข้าท่า เราก็หวังว่า Anti haul จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าตังค์เพื่อนๆ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเงินมากเกินความจะเป็นนะคะ

1. Sulwhasoo Perfecting Intense Cushion


เราเป็นแฟนสกินแคร์ (ชอบสบู่ล้างหน้ากับซีรั่ม) และคุชชั่น Sulwhasoo รุ่น Perfecting brightening ซึ่งทาแล้วผิวสวยมาก รวมถึงเมคอัพชิ้นอื่นๆของ Sulwhasoo แต่คุชชั่นรุ่นนี้ที่เค้าเคลมว่ามีสารบำรุงเรื่องริ้วรอย เราไม่เคยคิดจะซื้อเลย หลักๆคือราคา มันไม่โอเคสำหรับเราที่จะซื้อคุชชั่นราคา 2,700 บาท ที่เคลมว่ามีสารบำรุง ซึ่งเราควรเอาเงิน 2,700 บาทไปซื้อของมาบำรุงผิวไปเลย ดีกว่าจะมาหวังการบำรุงจากคุชชั่น ซื้อ First Care Serum ของ Sulwhasoo ก็ได้ ต่อมาคือราคาระดับนี้เราเอาไปซื้อรองพื้นดีๆไปเลยจะดีกว่า ปริมาณคุชชั่นนี่ถ้ารวมรีฟิล 2 อัน ใช้ทุกวัน 3-4 เดือนก็หมดแล้ว (เผลอๆหมดก่อนนั้น) แต่เชื่อว่ารองพื้นขวดนึงใช้ได้นานกว่าคุชชั่นแน่นอน และมีรองพื้นในตลาด ที่ดีมากๆๆ ในราคาที่ไม่แพงขนาดนี้แน่นอน สรุปสำหรับ Sulwhasoo ถ้าจะซื้อรุ่น Perfecting brightening เราแนะนำมากๆ จะมารีวิวให้อ่านเร็วๆนี้ค่ะ แต่สำหรับรุ่น Perfecting Intense Cushion เราคงต้องขอโบกมือปฏิเสธที่จะซื้อ
2. Dior Lip Tattoo


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราชอบอะไรจากดิออร์ก็มาก เช่น น้ำหอม, คุชชั่น, รองพื้น แต่ลิปทิ้นอันนี้เป็นของที่เราไม่คิดจะซื้อตั้งแต่ออกมา อย่างแรกคือเราสังเกต Peter Philip ที่เป็น Directer ของ DIOR หลังๆมานี้ เค้าได้รับอิทธิพลมาจากเทรนด์เกาหลีหลายอย่าง เราจะเห็นจากสีสันของลิปสติก รุ่น  Dior Addict Lacquer Stick สี 674 K-Kiss ซึ่งปีเตอร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเกาหลีค่ะ  (อ้างอิง) ซึ่งรู้กันว่ามีแบรนด์เกาหลีทำลิปสติกสีประมาณนี้แบบนีเยอะมาก

ต่อมาคือเราโอเคที่จะจ่ายเงินให้กับลิปแมตดีๆและลิปสติกราคาแพง เพราะเราเคยใช้ทั้งไฮเอนด์ และดรักสโตร์ คุณภาพต่างกันค่อนข้างชัด ซึ่งลิปตัวนี้ชื่อก็บอกว่าเป็น Lip Tint ซึ่งเราโอเคและชอบมากๆ ไม่มีปัญหาอะไรกับทิ้นของเกาหลี เราชอบด้วยซ้ำ ทั้งสี ทั้งความติดทน ทำออกมาได้ดีมากๆ คือเกาหลีเค้าผลิตTint กันมาสิบๆปีแล้ว ซึ่งส่วนมากราคาไม่แพง แถมใช้ดีด้วย บ้านเราเอง ผู้บริโภคก็ใช้ Tint กันมาเป็นสิบปีๆเช่นกัน มันทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมฉันต้องตื่นเต้นกับการที่ Dior เพิ่งออก Lip Tint มาสู่ตลาดในปี 2017 นี้ด้วย

ที่สำคัญเราอ่านรีวิว Sephora อเมริกา คะแนนเสียงแตก มีทั้งคนชอบและไม่ชอบแบบชัดเจน คะแนนถือไม่ได้มาก พูดในแง่คนที่ไม่ชอบ เท่าที่อ่านรีววิวมาคือ สีไม่สม่ำเสมอ ติดไม่ทน ซี่งเราได้มีโอกาสดูคลิปสวอชสีใน Youtube ลิ้งนี้ เราก็ยิ่งไม่อยากได้ เพราะเนื้อเมื่อปาดมาแล้วมันเหลว และสีก็ไม่สม่ำเสมอกันค่ะ


3. CHANEL LES BEIGES HEALTHY GLOW GEL TOUCH FOUNDATION (Cushion)



กระแสคุชชั่นมันทำเราฟ่อ ไม่ตื่นเต้นเลย ชาแนลไปอยู่ไหนมาเพิ่งมาทำ และเคาะราคามาแพงมากที่ 2,400 บาท (ที่ประเทศต้นฝรั่งเศส 43 ยูโร) ซึ่งต้องจ่ายให้กับคุชชั่นที่ใช้แค่เดือนสองเดือนก็หมด ถ้าใช้ทุกวัน เรามีโอกาสคุยกับเพื่อนที่ซื้อคุชชั่นตัวนี้ เลยรู้สึกส่วนตัวว่าแพ็คเกจขาดความปราณีต ไม่มีซองกำมะหยี่แบบเวลาซื้อแป้งผสมรองพื้น บลัชออน หรืออายแชโดว์ รวมถึงเนื้อคุชชั่นเลอะเทอะเปรอเปื้อนมากๆบนตลับ ดูภาพความเลอะเทอะรวมถึงรีวิวได้ใน ลิ้งนี้ และ ลิ้งนี้ ส่วนในแง่ความคุ้มค่าก็ไม่มีรีฟิลให้อีกอันแบบแบรนด์เกาหลี

หลังๆเราเมิน CHANEL เพราะมีหลายแบรนด์น่าสนใจกว่ามาก และกระแสรีวิวในต่างประเทศค่อนไปทางเฉยๆ บางอันค่อนไปทางไม่ดี เช่น บลัช รองพื้น แป้งผสมรองพื้น แต่ก็มีตัวเด่นๆชูโรงคือ แป้งฝุ่น (อันนี้ดีจริง) ลิปสติก (ดีเช่นกัน) บรอนเซอร์ (อยากลองมากๆ) แต่ที่เราเมินคือราคาเครื่องสำอางชาแนลเมืองไทย overprice มาก เราเคยเป็นแฟนแป้งผสมรองพื้นและรองพื้นบางรุ่น ตั้งแต่สมัยราคา 1,900 บาท จนปัจจุบัน ราคาขึ้นเป็น 2,600-2,900 บาท เครื่องสำอางชาแนลบ้านเราปรับราคาขึ้นทุกปี ในอัตราก้าวกระโดดกว่าประเทศต้นทาง ไม่ว่ามันไม่แฟร์กับผู้บริโภค สมมุติเราเป็นแฟนประจำอะไรซักอย่างหมดแล้วซื้อๆซ้ำๆคุณภาพเท่าเดิม แต่ราคาขึ้นเอาๆทุกปี นอกจากนี้ชาแนลบ้านเรามีการตั้งราคางงๆ โดดไปโดดมาจากประเทศฝรั่งเศส เช่น รองพื้นบางตัวรุ่นนึงถูกกว่าอีกรุ่น แต่เคาะราคามาขายบ้านเรา กลับขายราคาเท่ากัน (แน่นอนแพงและขึ้นราคารัวๆทุกปี) ทำให้หลังๆเราก็ไม่ได้ซื้ออะไร CHANEL เท่าไร
4. fresh ROSE FACE MASK
เราคาดหวังกับมาร์สตัวนี้มาก เพราะหนึ่งเราชอบกลิ่นกุหลาบ สองกระแสแรงมากๆ แต่หลังจากได้ลองจากเทสเตอร์มาร์สรุ่นนี้ ซึ่งกดเลือกจากของแถมมาถึงสองครั้ง เพื่อความชัวร์ ตอนซื้อของจาก Sephora Online มาร์สสิ่งนี้เคลมว่าใช้แล้วผิวจะชุ่มชื้น ผิวกระจ่างใส เราใช้แล้วความชุ่มชื้นไม่เกิดขึ้นบนผิวหน้าเราเลย กับราคาที่สูงถึง 2,450 บาท กับแพคเกจที่มีรักษาความสะอาดไม่ได้ และไม่ได้เกิดผลลัพธ์มิราเคิลใดๆบนผิว เราก็ต้องปฏิเสธที่จะซื้อ นี่แหละเป็นข้อดีของเทสเตอร์ สามารถเซฟเงินในกระเป๋าเราได้มากๆๆ
จบแล้วค่ะ ส่วนนึงบทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเรา ถ้ามีเพื่อนๆคนไหนใช้ของเหล่านี้ที่เรากล่าวถึงแล้วชอบ ก็ดีใจกับเพื่อนๆ เป็นผลดีกับเพื่อนๆ แต่สำหรับเรา เราเองก็มีจุดยืนที่จะไม่ซื้อพร้อมกับเหตุผลที่ได้กล่าวไป หวังว่า Anti-Haul จะเป็นประโยชน์กับเงินในธนาคารของเพื่อนๆ ในฐานะที่เราเป็นผู้ซื้อหรือผู้บริโภค เราอยู่ในยุคที่มีอะไรมาสะกดจิตเราให้บริโภค ให้ซื้อของได้ง่ายๆ อยากให้เพื่อนๆตัดสินใจดีๆด้วยตัวเอง มากกว่าจะพุ่งตัวไปซื้อเพราะมีคนมาบอกให้ซื้อ(นอกจากเค้าจ่ายเงินให้เราซื้อก็ว่าไปอย่าง) ก่อนจะซื้ออะไรควรลองก่อนจะซื้อ ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านนะคะ

ทุกรูป เครดิตจากเว็บไซค์ของแต่ละแบรนด์เองค่ะ

6.18.2560

Review :: 2 คอนซีลเลอร์ในกรุ พังหรือปัง? Lunasol, NARS

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมารีวิวคอนซีลเลอร์ที่มีอยู่ในกรุ เราเป็นคนขาดคอนซีลเลอร์ไม่ได้เลย ยิ่งกว่ารองพื้น เลยอยากจะมาแชร์ หลักๆเลยจะใช้กลบแพนด้าใต้ตา รวมถึงรอยต่างๆบนใบหน้า 



สภาพผิวเรา : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง, สีผิว NC 20-25
ใต้ตาคล้ำพอสมควร ถึงนอนอิ่มก็ยังแพนด้า

Lunasol under eyes concealer ( ปริมาณ 6.5 ml(g), ราคา 1,050 บาท)

เห็นหลอดดูเล็ก ที่จริงปริมาณมากกว่า NARS ค่ะ เป็นคอนซีลเลอร์ที่เราชอบที่สุดเท่าที่เคยใช้งานมา จนเลิกนับแล้วว่าซื้อมาใช้กี่แท่ง จริงๆเคยรีวิวไปแล้วด้วยรอบนึงในบล็อกนี้ สีนี้เบอร์ 02 ออกโทนเหลือง เข้มกว่าเรานิดนึง เพราะเราขาวขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่สีนี้ก็กลบใต้ตาพอดี ไม่หลอก คราวหน้าว่าจะเปลี่ยนไปลองเบอร์ 01

เนื้อคอนซีลเลอร์ เป็นแบบเนื้อน้ำๆ ที่ไม่ใช่แบบเหลวจนไหลย้อย มีความเป็นโลชั่นเบาๆอยู่ เกลี่ยลงบนผิวง่ายมาก ใช้มือทาๆกดๆ หรือใช้แปรงก็ได้ แต่ปกติจะใช้มือทานะคะ เบลนง่าย ไม่ต้องมีทักษะก็เกลี่ยสวยเรียบเนียน ถ้าอยากเน้นปกปิดเพิ่มก็ใช้แปรงเอาค่ะ เซ็ทตัวเป็นเนื้อ Satin

ระดับการปกปิด ปานกลาง (Medium Coverage) ทาแล้วดูธรรมชาติ ไม่บางไป ไม่หนาจนเคกกี้ แต่ถ้าใครชอบแบบ Full Coverage ที่กลบมิดทุกอย่าง ตัวนี้ไม่ตอบโจทย์ค่ะ

คอนซีลเลอร์ตัวนี้ให้ความชุ่มชื้นดีมากๆ เหมาะกับการใช้ใต้ตา ให้ความชุ่มชื้นแบบไม่ทำให้ผิวมัน ไม่ตกร่อง ไม่เกิดคราบใต้ตา ทาแล้วใต้ตาดูอิ่มสวย มีการกระจายแสงดี ให้ลุคธรรมชาติมากๆ ถึงจะบอกว่าเป็นคอนซีลเลอร์ใต้ตา แต่ก็สามารถใช้กับส่วนอื่นๆบนใบหน้าได้ค่ะ ปกปิดแบบธรรมชาติ ถึงเนื้อจะไม่ข้นเป็นครีม แต่ขอบอกว่าติดทนในการใช้แบบทุกวัน ประมาณ 6-8 ชั่วโมง หลอดดูเล็ก แต่ใช้ได้นานมากๆค่ะ แถมพกพาสะดวก



คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 10/10
  • การปกปิด : 7.5/10
  • ความธรรมชาติ : 10/10
  • ความติดทน : 8.5/10
  • ความชุ่มชื้น : 10/10
  • ไม่ตกร่อง ไม่เป็นคราบ : 10/10
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 10/10

ซื้อต่อรึเปล่า? : จะซื้อซ้ำอีกเรื่อยๆค่ะ เป็นคอนซีลเลอร์ที่ใช้กับ Everyday look ของเรา สามารถหาซื้อที่เคาน์เตอร์ Kanebo ค่ะ เป็นแบรนด์ในเครือ Kanebo ค่า 




NARS Radaint creamy concealer ( ปริมาณ 6 ml, ราคา 1,320 บาท)

แพ็คเกจมีความหนักกว่า Lunasol ตัวนี้เป็นคอนซีลเลอร์ชื่อดัง ทั้งในไทยและต่างประเทศคนกล่าวถึงมากๆ ตอนแรกเราซื้อสี Ginger มา มันคล้ำกว่าผิวมาก ดับอนาถ พอเปลี่ยนเป็นสี Custard ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ

เนื้อคอนซีลเลอร์  มีความครีมมี่สมชื่อ มีความเข้มข้นของพิกเม้นสูง พอทาแล้วให้ผิวแบบกึ่ง Matte กึ่ง Satin  ใช้มือตบๆแบบที่ทาคอนฯอื่น แล้วเหมือนคอนซีลเลอร์มันจะกองๆ ไม่เบลน เป็นคราบๆ แต่พอใช้แปรงทาแล้วดีขึ้นมากๆ เนียนสวยเลย

ระดับการปกปิด เกือบๆ Full Coverage เราจะใช้ตัวนี้ในวันที่ต้องการความปกปิดเป็นพิเศษ ถึงปกปิดแต่ดูไม่โบ๊ะหนา หลอกตานะคะ เวลาใช้ไม่ต้องทาเยอะค่ะ แต้มนิดนึงพอ ถ้าทาเยอะมาก มันจะเป็นคราบ ดูเคกกี้ได้ค่ะ นอกจากใครที่ใช้ฟองน้ำ อาจจะต้องเพิ่มปริมาณ เพราะฟองน้ำจะไปทำเนื้อคอนซีลเลอร์บางเบาลงค่ะ

ตัวนี้ถือเป็นคอนซีลเลอร์อเนกประสงค์ ใช้งานได้ดีทั้งใต้ตา และรอยต่างๆบนใบหน้า แต่บางครั้งถ้าไม่ทาอายครีมบำรุงใต้ตา ตัวนี้มันจะแห้งไปมากๆสำหรับใต้ตา ดูรู้เลยว่าแห้ง เกิดการตกร่องบ้างเล็กน้อย  ต้องทาบำรุงดีๆมากๆ ใช้ตรงจุดอื่นๆบนใบหน้า ดีมากๆ ผิวดูสวย ไม่โบ๊ะ ติดทนสุดๆค่ะ แต่ใครที่ชอบลุคธรรมชาติอาจไม่เหมาะ เพราะดูรู้ว่าแต่งหน้าชัดเจนชัวร์ๆ

ตัวนี้รู้สึกราคาจะขึ้นเรื่อยๆ จากไม่ถึงพัน จนตอนนี้ 1,320 บาท โหดเหมือนกัน  ถ้าขึ้นถึง 1,400-1,500 บาท คงต้องขอโบกมือลา มองหาตัวอื่นทดแทน



คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 7/10
  • การปกปิด : 9/10
  • ความธรรมชาติ : 7/10
  • ความติดทน : 9/10
  • ความชุ่มชื้น : 7/10
  • ไม่ตกร่อง ไม่เป็นคราบ : 7/10
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 8/10


ซื้อซ้ำรึเปล่า? : อาจจะซื้อซ้ำค่ะ ถ้าไม่เจอตัวอื่นที่ชอบมากกว่า แต่ถ้าขึ้นราคาตลอดทั้งปี ขออำลาถาวร ชอบแต่ยังมีข้อแม้พอสมควรกับตัวนี้ แบบยังไม่ใช่ The Best ค่ะ


สรุป

ทั้งสองตัวมาคนละแนว ใครเน้นปกปิดแน่นกริบ ผิวมันมากๆ น่าจะเหมาะกับ NARS ใครชอบแบบธรรมชาติ ใช้ได้ทุกสภาพผิว เน้นทาใต้ตาแบบชุ่มชื้น ก็ Lunasol ค่ะ แต่ถ้าให้เราเลือกตัวใดตัวนึง ก็เลือก Lunasol เหมือนเดิมค่ะ Lunasol ได้ปริมาณมากกว่า ราคาไม่สูงเท่า NARS ใช้มาเกือบสิบปี จนเลิกนับชิ้น รักมากๆ


"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ"

3.05.2560

Review :: รองพื้นฉ่ำวาวที่รอดกับอากาศเมืองไทย BURBERRY Bright Glow Foundation

ความจริง BURBERRY เค้ามีรองพื้นอีก 2 รุ่น คือ Fresh Glow   ซึ่งจะดิวอี้  ฉ่ำวาวสุดๆ เนื้อบางเบา เราว่าน่าจะเหมาะกับผิวแห้ง ส่วนอีกรุ่นคือ Cashmere Soft Matte ที่เป็นรองพื้นเนื้อแมต เหมาะกับคนผิวมัน เน้นปกปิด แต่สุดท้ายที่เราเลือกซื้อคือรุ่นนี้ BURBERRY Bright Glow Foundation เพราะส่วนตัวคิดว่ามันอยู่กึ่งกลางระหว่าง Fresh glow กับ Cashmere ไม่แมตหรือดิวอี้เกินไป แถมทางแบรนด์เคลมว่ามีส่วนผสมของสกินแคร์ เป็นรองพื้นที่เหมือนบำรุงผิวได้ในตัว



ราคา 2,100 บาท ปริมาณ 30 ml
Made in France

สภาพผิวเรา   ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง

  • แพ็คเกจดีมากๆ หรูหรา เป็นเอกลักษณ์ทางแบรนด์ ถ้าใครเคยใช้เบสหรือรองพื้นอยู่แล้วคงคุ้นดี คือมีฝาปั๊มที่หมุนล็อคได้ และมีฝาอีกอันปิดครอบ รองพื้นเป็นขวดแก้ว หนักเอาเรื่องเหมือนกันค่ะ ไม่เหมาะกับการพกพาไปไหน
  • เราใช้เบอร์ 20 Ochre ซึ่งออก โทน Natural สีเนื้อ (ไม่ชมพูหรือเหลืองไป) สำหรับ NC 20 รองพื้นจะออกแทนๆกว่าผิวแค่นิดเดียว พอทาแป้งจะพอดีเลย แบบที่เราชอบ ถ้าใครชอบผ่องๆหรือกลัวดร็อปก็เลือกโทนสว่างกว่านี้ นั่นคือเบอร์ 12 ส่วนเบอร์ 26 จะออกเหลืองสุด เข้มกว่า 20 หน่อยค่ะ ต้องเลือกสีดีๆ เพราะเราว่าเค้าทำโทนสีโดดไปมามาก รองพื้นมี SPF 30  
  • เนื้อออกลิขวิดเหลวๆหน่อย เกลี่ยง่ายมากๆ ปกปิด Light-Medium Coverage


ผลลัพธ์บนผิว

เมื่อรองพื้นเซ็ทตัว ตอนแรกเนื้อรองพื้นจะออกแมตๆหน่อยนึง แต่ไม่ทำให้ผิวแห้งเลย ชอบเอฟเฟกต์ที่รองพื้นให้มาก ผิวดูไม่แบน รองพื้นกระจายแสงดี ทำให้ผิวดูมีมิติ กระจ่างใสและโกลวสมชื่อ ได้งานผิวธรรมชาติมากๆ ผิวดูดีแบบ juicy Skin ที่มีความฉ่ำและอิ่มนวล ด้วยเนื้อที่มีความแมต ทำให้ระหว่างวันไม่มันเยิ้ม ไม่เป็นคราบ ไม่ตกร่องรูขุมขน ติดทนทั้งวันเลย เหมาะกับ Everyday look และรอดกับสภาพอากาศในเมืองไทย คิดว่าต้องถูกใจคนผิวมันหรือผิวผสม ส่วนตัวเวลาเราใช้รองพื้นตัวนี้จะใช้แป้งเซ็ทแค่ทีโซนเท่านั้น ช่วงอากาศหนาว ไม่ต้องใช้แป้งเซ็ททั้งหน้ายังได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เบสหรือไพรม์เมอร์เลยนะสำหรับเรา แต่จะใช้เบสของเค้าผสมด้วยก็ได้ ถ้าอยากให้ความโกลว ฉ่ำเพิ่มขึ้น 


ข้อเสีย คือ รองพื้นมีการดรอป (Oxidized) เล็กน้อย แต่ไม่มากถึงขึ้นหมอง เวลาซื้อควรเลือกซื้อให้สว่างกว่าผิวซักสเต็ปนึงค่ะ และรองพื้นสีมีให้เลือกน้อย และโดดไปมา ต้องเลือกดีๆ เพราะรองพื้นฝรั่งจะมีโทนชมพู โทนพีช โทนเหลือง

คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 5/5
  • ความธรรมชาติ : 5/5
  • ปกปิด : 3/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 5/5
  • ติดทน : 4.5/5
  • การควบคุมความมัน : 4/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 4.5/5

แนะนำมากๆ สำหรับคนที่ชอบผิวโกลว ฉ่ำ รองพื้นบางเบา มีความธรรมชาติ ต้องการความโกลว แต่ไม่มันเยิ้ม อยู่ทนทั้งวัน แนะนำเลยค่ะ ไบรท์และโกลวสมชื่อเลย ที่สำคัญสบายผิวมาก ไม่รู้สึกว่ามีรองพื้นพื้นบนผิวด้วยซ้ำ



"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ "


3.03.2560

"Disappointing Products" ใช้แล้วผิดหวัง รู้อย่างงี้ไม่ซื้อดีกว่า Revlon, Missha, La Roche-Posay

สวัสดีค่ะ พอดีเราเห็นบรรดายูทูปเบอร์ทั้งต่างประเทศ และในไทย ต่างทำหัวข้อ ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาแล้วเสียดายเงิน ไม่ชอบ รู้งี้ไม่ซื้อดีกว่า เราเองก็อยากมา review ว่ามีอะไรที่ซื้อมาแล้วเกิดประสบการณ์รู้อย่างงี้ไม่ซื้อดีกว่า ใช้แล้วผิดหวังมาก

มาสคาร่า เลฟรอน "Revlon Ultimate All in One Mascara"



เนื้อมาสคาร่ามันไม่ใช่สำหรับเรา เนื้อมันเหนอะๆ แน่นๆ ใช้แล้วไม่เกิดผลใดๆกับเราเลย ทั้งในแง่ความหนา ความงอน หรือความยาว  ดัดขนตาแล้วปัดก็แล้ว ปัดเดี่ยวๆก็แล้ว ด้วยความที่เนื้อมันแน่นๆข้นๆ ทำให้ขนตาเราตกทิ่มลงไปอีก ปัดแล้วรู้สึกไม่สบายตาด้วย เหมือนมีอะไรหนักๆเกาะตา ตัวนี้พอระหว่างวัน หรือเวลาโดนน้ำ หลุดออกเป็นผงๆ ร่วงเข้าตา แสบตามาก คิดว่าเหมาะกันคนขนตายาวๆอยู่แล้ว แบบฝรั่ง ที่ปัดไปไม่ต้องดัด ปัดยังไงก็สวย อะไรแบบนี้ กลับไปซบอกมาสคาร่าญี่ปุ่นเหมือนเดิมค่า


คุชชั่น มิชช่า สูตรแมต " Missha x Line Friends M Magic Cushion SPF50+/PA+++ "




ใช้แล้วขาววอก ลอย เป็นจูออนค่า  เรา NC 20-25 คุชชั่นตัวนี้แทบไม่มีความเหลือง มันขาวแบบเอาสีขาวทาหน้าเลยค่ะ ที่ยิ่งกว่านั้น ทาแล้วมันหนุบหนับ ไม่สบายผิวเอาซะเลย ถ้าจะให้เปรียบคือเหมือนเอาลิปบาล์มทาหน้า ผมติดหน้า หน้ากลายเป็นเครื่องดูดฝุ่นมาติดย่อมๆเลย แต่คุชชั่นเนื้อแมต(แบบหนึบๆ) เลยกลายเป็นว่าระหว่างวันจะทำให้ผิวแห้ง ไม่ได้มีความโกลว ดิวอี้แบบเกาหลีเบาๆก็ไม่มี แทบแมตสนิท มันปกปิดมากๆจนดูเคกกี้ หนาเตอะ เหมือนไปเน้นรูขุมขน รอยอารยธรรมบนใบหน้า แถมตกร่องอีกนะ ด้วยเทกเจอร์แบบที่ว่า จึงไม่เหมาะกับปัดแป้ง ระหว่างวันเป็นคราบด้วยค่ะ พูดง่ายๆคือทาแล้วเหมือนมันกองอยู่บนผิว ไม่ได้ทำให้ผิวดูสวยขึ้นแต่อย่างใด ฝืนใช้สามที พอเลยค่ะ ใช้เหมือนทำให้ผิวขี้เหร่ลง


"Dior Lip Glow"




เป็นลิปบาล์มที่ใครๆก็พูดถึงในแง่ดี คุณสมบัติพิเศษคือเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ หลังจากเราได้ลองใช้มันดีนะคะ สีสวย ใช้ความชุ่มชื้นดี ไม่เหนียวเหนอะ เปลี่ยนสีจริง แต่ที่เราผิดหวังคือ ราคาเท่านี้จ่ายให้ลิปบาล์มเปลี่ยนสี มันไม่ใช่สำหรับเรา คือนึกภาพพวกลิปมันเปลี่ยนสีของบ้านเรายุค '90 ออกมั้ยคะ ดิออร์ไม่ทำให้เราว้าว ปลาบปลื้มอ่าค่ะ แต่ด้วยที่มันเป็นดิออร์ เนื้ออะไรมันก็ดีกว่า แต่ราคานี้เราสามารถซื้อลิปบำรุงดีๆได้หลายแท่งมาก แล้วยิ่งถ้าเป็นคนมีลิปสติกเยอะ ซื้อตัวนี้ไม่คุ้มเลย จะเอาไปทาบำรุงก่อนทาลิปสติกก็ไม่ได้เดี๋ยวสีเพี้ยน ทาก่อนนอนก็ผิดจุด

คิดว่าเหมาะกับคนที่แต่งหน้าไม่มาก มีเครื่องสำอางน้อยชิ้น ชอบแต่งลุคใสๆ ธรรมชาติ ซื้อมาแล้วมีโอกาสทาบ่อย แฮปปี้กับสีที่เปลี่ยนไปตามอุณหภูมิอะไรแบบนี้


กันแดด ลาโรช " La Roche-Posay ANTHELIOS ULTRA-LIGHT FLUID SPF50+/PPD42/PA++++ "






ในแง่กันแดด ประสิทธิภาพให้เต็มร้อย กันแดดดีมาก แต่เนื้อสัมผัสมันย่องมากๆ ทาแล้วทำให้หน้ามันอย่างรุนแรง ไม่ได้ Ultra Light แบบคำเคลมทางแบรนด์ว่า มันแบบไม่ซึม ทาแล้วมันยังไง ก็มันแบบนั้นไม่ทั้งวันค่ะ แถมทาแล้วซับๆที่มันออก ระหว่างวันก็ทำให้หน้ามันอีก ไม่เหมาะกับไปแต่งหน้าต่อ ทำให้เครื่องสำอาง เกิดคราบ ทาแป้งไม่ติดผิว ด้วยความที่ไม่ใส่น้ำหอม กลิ่นครีมกันแดดรุนแรงเอาเรื่อง ใช้แรกๆยังไม่ชิน กลิ่นเหมือนครีมบูด ทาไม่ดีเกิดคราบขาวเป็นหย่อมๆ กันแดดลอกเป็นขุยๆออกมาบ้าง แครี่กันแดดตัวนี้ไม่ไหวจริงๆ ทาแล้วหน้ามันมาก ทำให้แต่งหน้าไม่ได้อ่ะค่ะ ทาเฉยๆ ไม่แต่งหน้า เหมือนกันแดดมันไม่มีความซึมใดๆ  ข้อเสียอีกข้อคือราคาแพงกว่าฝรั่งเศสมาก ไปสืบราคายูโรมาคิดเป็นไทยขวดละ 500-600 บาท  ราคาในวัตสัน บู๊ทส์ บ้านเรา 1,330 บาท แพงเกินไปมาก แต่ยอมรับประสิทธิภาพกันแดดดีจริงๆ ไม่แสบ ไม่คล้ำ เวลาตากแดด




"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ"

1.25.2560

Review : รีวิวรองพื้นสุดฮิต ดีจริงรึเปล่า? DIOR DIORSKIN STAR FOUNDATION




 DIORSKIN STAR

STUDIO MAKEUP - SPECTACULAR BRIGHTENING 

WEIGHTLESS PERFECTION - LONG WEAR - BROAD SPECTRUM SPF 30


ปริมาณ 30 ml, ราคา 2,400 บาท


ก่อนอื่นเราขอพูดแบบจริงจังเรื่องราคาเป็นสิ่งแรก เพราะส่วนตัวไม่สนับสนุนการถือโอกาสขึ้นราคาทีละมากๆของทุกแบรนด์ และการตั้งราคาแพงแบบเกินไปมากๆ ราคารองพื้น Dior ถือว่าโหดมาก มาSephora อเมริกา ราคา $50.00 (ประมาณ 1,700-1,800 บาท) ญี่ปุ่นประเทศที่ค่าครองชีพแพงกว่าบ้านเราแบบโหดมาก ราคา 6,480 เยน (ประมาณ 1,900-2,100 บาท ) ราคาไม่หนีอเมริกาและขายถูกกว่าบ้านเราอีก ราคาเคาน์เตอร์ไทย 2,400 บาท เมื่อปีก่อนๆราคา 2,000 บาท มีการปรับราคาขึ้นเยอะมาก รองพื้นหลายแบรนด์ราคาที่ประเทศเค้าพอๆกับ Dior หรือแพงกว่ากลับตั้งราคาได้ถูกกว่า Dior ซึ่งบางแบรนด์ราคาตั้งราคาดีมาก คือไม่ใช่ถูกนะคะ แต่ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่รับได้ ทำให้อยากพุ่งตัวไปซื้อเคาน์เตอร์เลยจริงๆ ซึ่งเพื่อนๆอาจสามารถหารองพื้นที่ราคาไม่แพงเท่า Dior แล้วให้ลุคประมาณนี้ได้ แถมอาจชอบกว่ารองพื้น Dior ก็ได้ค่ะ




สภาพผิวเรา : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง




ขวดแก้วหรูหรา น้ำหนักปานกลาง แต่ด้วยความที่เป็นขวดแก้วอาจไม่เหมาะจะพกพา ข้างในเป็นฝาปั๊ม




เนื้อสัมผัส

ปั๊มออกมาเนื้อรองพื้นเป็นแบบครีมที่มีความจับตัวกันเป็นก้อนแน่นๆ ที่มีความข้นหนืดของเนื้อรองพื้น ไม่ได้เป็นเนื้อเหลวๆ ต้องใช้ความว่องไวในการทาเพราะรองพื้นเซ็ทตัวเร็วมาก ไม่เหมาะกับการใช้แปรง หรือใช้มือปาดๆ เพราะจะดูหนาไป เนื้อมีความข้นทาแล้วลากไม่ไป ผลออกมาจะไม่สม่ำเสมอ ถ้าใช้มือต้อง กดๆ ตบๆ สรุปคือเหมาะกับการใช้ฟองน้ำที่สุดค่ะ  เนื้อรองพื้นลักษณะนี้ ต้องเตรียมผิวดีๆค่ะ ถ้าใครบำรุงผิวไม่ดี หรือผิวขาดน้ำ ตอนลงรองพื้น อาจไม่สมูท แต่งหน้าไม่ติดค่ะ  




ผลลัพธ์บนผิว
เมื่อแรกทา

พอเจอเนื้อสัมผัสตอนแรกก็แอบเฟล กลัวจะเป็นรองพื้นที่หนาๆหนักๆ เพราะปกติเราจะชอบแบบลิขวิด ที่เกลี่ยง่าย ซึ่งตอนแรก ถ้าใช้มือกับแปรงจะดูหนาๆ เหมือนรองพื้นกองกันบนผิว ใช้กับฟองน้ำดีที่สุดจริงๆ พอใช้ฟองน้ำลงรองพื้นจะถูกเบลนด์จนกลืนไปกับผิว  เนื้อรองพื้นเซ็ทตัวแบบ Demi-Matt  รองพื้นให้การปกปิดระดับปานกลาง พรางรูขุมขนได้ดี หน้าดูเนียนละเอียด รองพื้นกระจายแสงดี มีเอฟเฟกต์ความโกลวแบบพอดีๆ ทำให้ผิวดูมีมิติ เมื่อรองพื้นเซ็ทตัวจะรู้สึกเนียนกว่าเดิม ยิ่งใช้แป้งฝุ่น มาเซ็ทจะยิ่งดูเนียน ทาแล้วมีความกริบเนี๊ยบแบบดูรู้ว่าทารองพื้น แต่ไม่หนาจนถึงขั้นเคกกี้ ไม่มีการตกร่องรูขุมขน ไม่มีการไปเน้นหรือตกร่องริ้วรอยต่างๆ ตรงนี้ถือว่าดีมาก

ระหว่างวัน

รู้สึกชอบผิวตอนนี้มากกว่าตอนทาใหม่ๆเพราะเมื่อมีน้ำมันจากผิวมาผสมรวมกับรองพื้น รองพื้นเหมือนหลอมละลายกลืนไปกับผิวมากขึ้น เนื้อรองพื้นจาก Demi-Matte กลายเป็นแบบเนื้อ Satin ให้ลุคธรรม-ชาติมากขึ้น ผิวดูสวยกว่าตอนทาใหม่ๆอีกค่ะ มีการเพิ่มขึ้นของเอฟเฟกต์ผิวโกลว แต่ไม่ได้ทำให้ผิวดูมันหน้าเปียกแบบสาวเกาหลี รู้สึกชอบผิวตัวเองระหว่างวัน มากกว่าตอนทาแรกๆ รองพื้นตัวนี้ไม่คุมมัน ทีโซนเรามันขึ้นปกติ ต้องซับมันพอสมควร แต่รองพื้นไม่ได้ดูเละเทะบนหน้า ส่วนข้างแก้มที่ผิวแห้งมีความเฟรชตอนเหมือนทาใหม่ๆและระหว่างวันไม่มีการตกร่องรูขุมขนหรือ Fine line ถือเป็นรองพื้นที่ทำให้ผิวสวยตั้งแต่เริ่มแต่งหน้าไปจนล้างออก แต่ก็มีการไหลหลุดของรองพื้น



เรื่องความติดทน, การดรอป, และการเกิดคราบล่ะ?

ความติดทนที่ว่านี้ วัดจากผิวเราซึ่งเป็นผิวผสม และไม่ได้ใช้ไพรเมอร์นะคะ ถ้าทำงานห้องแอร์ คิดว่าติดทนประมาณ 8-9 ชั่วโมง แต่ถ้ามีการออกไปข้างนอก แดดร้อน อากาศร้อนๆ เหงื่อออก ติดทนประมาณ 6 -7 ชั่วโมง แล้วจะมีรองพื้นหลุดตรงบริเวณทีโซน ที่เป็นจุดที่ผิวมันของเรา โดยเฉพาะจมูกที่หลุดออกไปเกือบหมด ถ้ามีไพรเมอร์ก็น่าจะทำให้รองพื้นติดทนนานกว่านี้ ข้อดีของรองพื้นคือไม่เป็นคราบและตกร่องเลยระหว่างวัน ขนาดใส่แว่นกันแดด แค่เอานิ้วกดๆตบๆตรงบริเวณข้างจมูกที่ใส่แว่น ก็กลับมาเนียนกลืนกับผิวเหมือนเดิม เคยโดนน้ำ จากการกระหน่ำฉีดสเปรย์น้ำแร่ ก็ไม่ไหลเป็นคราบน้ำ แต่ก็มีหลุดๆไปเวลาซับหน้า มีการดรอป Oxidized ระหว่างวันบ้าง ถ้าช่วงไหนพักผ่อนน้อย ผิวเครียดแต่น้อยมากๆ ที่เราเจอวันที่ทาแล้วดรอป



คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 3/5
  • ปกปิด : 4.5/5
  • ความธรรมชาติ : 3/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 4.5/5
  • ติดทน : 4/5
  • ควบคุมความมัน : 2/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 3/5


"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ ถ้ามีโอกาส ควรลองก่อนซื้อค่ะ"