สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Merlinnee ซึ่งเจ้าของบล็อกเป็นคนคลั่งคสอ.มาร่วมสิบปี จนปัจจุบันเวลาจะซื้ออะไรรวบรวมสติดีขึ้น(กล้าพูดนะ 555) ถ้าใครกำลังกำเงินเพื่อไปซื้อคุชชั่น อยากให้อ่านตรงนี้ก่อนค่ะ เพื่อตั้งสติ เผื่อจะได้เซฟเงินของเพื่อนๆ
- คุชชั่นถ้าเราทาทุกวัน สองเดือนก็หมดแล้ว ถ้ามีรีฟิลแถมมาด้วยก็เพิ่มอายุการใช้งานได้อีกนิดแต่ในพวกไฮเอนด์แบรนด์สายฝอทั้งหลายเค้าจะไม่แถมรีฟิลมาด้วย นั่นหมายความว่าเงิน 2 พันกว่าบาท ถ้าเอาไปซื้อรองพื้นในราคาเท่าๆกันกับคุชชั่น รองพื้นใช้ได้นานเกือบปี แต่ถ้าซื้อคุชชั่นใช้แป๊บเดียวก็หมด ที่สำคัญคุชชั่น Hi End ทั้งจาก ยุโรป,อเมริกา ล้วนผลิตที่เกาหลีเกือบหมด ในขณะที่รองพื้นก็ผลิตที่ประเทศของแบรนด์ ไม่ว่าจะฝรั่งเศส,อิตาลี,อเมริกา, ฯลฯ ดังนั้นความคุ้มราคาของคุชชั่น ถ้าเทียบกับรองพื้นถือว่าไม่ผ่าน
- ถึงเราดูซีรีส์เกาหลีแล้วจะเคลิ้มไปกับความฉ่ำวาวของทั้งพระเอก นางเอกแค่ไหน แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน(มาก) คุชชั่นโดยมากเค้าจะผสมน้ำมันที่ทำให้หน้าวาว ซึ่งใครผิวมันมากควรลองดีๆก่อนเสียทรัพย์ ไม่งั้นเมคอัพอาจพังมากกว่าปัง
- ถ้าเป็นสิวง่าย ควรหลีกเลี่ยงคุชชั่น เพราะพัฟซักยาก ยิ่งบ้านเราร้อนจนเหงื่อไหล มีฝุ่นและควันอีก คงจะทำให้เกิดสิว ถ้าจะควักมาตบๆเติมๆระหว่างวัน
- ใครที่ผิวมันขั้นเทพ คุชชั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถ้าเพื่อนๆลองพลิกฟองน้ำคุชชั่นดู จะรู้ว่าเนื้อคุชชั่นมีความหนืด และผสมน้ำมัน ดูข้นน้ำมันบอกไม่ถูก ถ้าหน้ามันควรซื้อรองพื้น คุชชั่นไม่เวิร์คเท่าไร
พูดกันขนาดนี้ใจเย็นๆค่ะ อย่าเพิ่งปิดหนี คุชชั่นที่เราจะนำมารีวิวต้องมีดีพอสมควร เราถึงเสียเงินซื้อ และหยิบมารีวิว โดยการรีวิวจะยึดการใช้แป้งฝุ่นเซ็ทคุชชั่น อากาศเมืองไทยคงไม่รอดถ้าทาคุชชั่นเพียวๆ
สีผิวเรา : NC 20-25 สภาพผิว : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง
ขอเริ่มจากสายเกาหลีที่เป็นต้นกำเนิดคุชชั่น เราเคยใช้ Sulwhasoo รุ่น Perfecting ที่ออกมาเป็นตัวแรกของเค้า รู้สึกมันปกปิดมาก ดูหนาไปสำหรับเรา เกริ่นมายาวเหยียด เริ่มรีวิวกันดีกว่า ตัวนี้ซื้อเพราะเค้าเคลมว่าบางเบาและคุมมันกว่ารุ่นเก่า
"Sulwhasoo Perfecting Cushion Brightening"
ราคา 2,100 บาท (Made in Korea)
- ได้รีฟิลคุชชั่นและพัฟมาด้วยอีกชุดตามสไตล์แบรนด์เกาหลี
- สีคุชชั่น เราใช้เบอร์ 23 ออกโทนเหลือง เลือกคุชชั่นเกาหลี ต้องระวังหน้าเทามากกว่าหมองค่ะ เพราะทำกันขาวมากๆ เอาจริงๆสีนี้สว่างกว่าผิวเรานิดนึงนึง แต่เบอร์ 25 ก็คล้ำไป
![]() |
รูปตอนเพิ่งซื้อ ปัจจุบันเลอะเทอะมาก |
เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น
เนื้อเบา ทาแล้วสม่ำเสมอดี พอเสร็จเอามือกดๆหน้า เหมือนมีความหนึบบนผิวนิดๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรบนหน้า ไม่หนักหน้า สบายผิวมากๆ เซ็ทด้วยแป้งฝุ่นแล้วไม่เป็นคราบ กลิ่นของคุชชั่นไม่ใช่โสมแบบรุ่นเก่า แต่เป็นกลิ่นเลมอน ซึ่งตอนแรกๆเกลียดกลิ่นมาก แล้วกลิ่นมันติดบนหน้านาน ได้กลิ่นหลายชั่วโมง หลังๆชิน พัฟนุ่มและยืดหยุ่นมีความไฮเอนด์ เอาไปซักแล้วไม่ยุ่ยไม่เละ
การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว
ปกปิดระดับปานกลาง เมื่อทาตอนแรกคุชขั่นหลอมละลายไปกับผิว ไม่หนาหลอก ไม่โดดออกจากหน้า ดูธรรมชาติให้ลุคกึ่งแมตกึ่งซาติน ผิวมีความแมตแต่คุชชั่นมีการกระจายแสงดีมาก ให้ความดิวอี้ปานกลาง ไม่ถึงขั้นหน้าเปียก มีการกลบและพรางรูขุมดีขนๆมาก ทาแล้วรูขุมขนดูเล็กลงชัดเจน เบลอร่องรอยอารยธรรมต่างๆได้ดี ไม่ตกร่องใดๆทั้งรูรุมขนและริ้วรอย คุชชั่นตัวนี้ทำให้ผิวดูผ่องเด้งกว่าคุชชั่นที่เคยใช้ Brightening สมชื่อ เป็นคุชชั่นที่ทาแล้วได้ผลลัพธ์ผิวสวยจริงๆ
ระหว่างวันผิวดูดิวอี้ขึ้น แต่ไม่ได้มันเยิ้ม ซับมันดูพบว่ามีน้ำมันแค่ช่วงทีโซนออกมาแบบปกติ ส่วนข้างแก้มก็ปกติไม่มันขึ้น คุชชั่นไม่ได้ทำให้หน้ามัน ใช้แล้วหน้ามันช้าลงด้วยซ้ำ ความดิวอี้ที่เห็นไม่ได้เกิดจากน้ำมันของคุชชั่นหรือความมันของผิว แต่เกิดจากเอฟเฟกต์การกระจายแสงของคุชชั่น
คะแนน
- เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 4/5
- ปกปิด : 3.5/5
- ความธรรมชาติ : 4/5
- ฟินิชลุคบนผิว : 4.5/5
- ติดทน : 4/5
- ควบคุมความมัน : 3/5
- ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 5/5
ซื้อต่อรึเปล่า? : ถ้าไม่มีรองพื้นในกรุงอกมากเกินไป อาจจะซื้อค่ะ
"DIORSKIN FOREVER PERFECT CUSHION"
- เซ็งที่ไม่ได้รีฟิลและพัฟแถมอีกชุด เหมือนคุชชั่นเกาหลี
- ไม่มีซองผ้าแบบเวลาซื้อพวกแป้ง,บลัช, Eyeshadow ของ Dior
- เราใช้เบอร์ 021(Linen) ออกโทนเหลือง พอดีผิวมากๆ กลืนกับสีผิวธรรมชาติผิวมากกว่า Sulwhasoo
เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น
เนื้อคุชชั่นบางเบา เบลนด์ง่าย สม่ำเสมอดี เซ็ทตัวเร็วว่าคุชชั่นทั่วไป กลิ่นน้ำหอมฟลอรัลแบบสไตล์ดิออร์แรงมาก ทาบนผิวแล้วเอามือแตะหน้ามีความหนึบเล็กๆ แต่น้อยกว่า Sulwhasoo ไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรบนหน้า สบายผิวสุดๆ ที่เราไม่ปลื้มเลยคือพัฟแข็งมาก ไม่มีความยืดหยุ่น ถ้าเทียบกับ Sulwhasoo แถมพอเอาไปซักครั้งแรก ก็เละและยุ่ย ทั้งๆที่ซักเบามือ ไม่ได้ขยี้เลย บีบเบาๆไล่น้ำออกเท่านั้น ทำเอาไม่กล้าซักเท่าไร
การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว
ปกปิดระดับน้อย บิวท์ก็ไม่ถึงปานกลาง เมื่อแรกทาให้เอฟเฟกต์แมตบนผิว แต่มีการกระจายแสงดี ทำให้หน้าดูไม่แบน เนื้อคุชชั่นบางเบามาก บางเบากว่า Sulwhasoo อีก แต่มันน่าทึ่งที่ระดับการปกปิดที่น้อยขนาดนี้ กลับสามารถทำให้ผิวดูเรียบเนียน และเบลอรูขุมขน และอารยธรรมบนใบหน้า คุชชั่นธรรมชาติมากจริงๆ แต่ก็ทำให้ผิวสวยแบบหลอมรวมกลืนไปกับผิว ในส่วนของความผ่องเด้ง Sulwhasoo ชนะ ถ้าความธรรมชาติ Dior ชนะ เรียกได้ว่าเป็นคุชชั่นงานผิวจริงๆ
ระหว่างวันผิวดูโกลวมากขึ้น โกลวแบบกำลังดี ไม่มากหรือน้อยไป ตรงข้างแก้มที่ผิวแห้งยังแมตอยู่ แต่ตรงทีโซนที่มันจะมีความเหนียวๆหนึบๆ แต่ใช้ซับมันน้อยกว่าปกติ พอซับมันแล้วก็กลับมาเฟรชเหมือนเดิม โดยรวมคือซับมันแล้วกลับมาดูแมตเหมือนเดิม
คะแนน
- เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 5/5
- ปกปิด : 2/5
- ความธรรมชาติ : 5/5
- ฟินิชลุคบนผิว : 4/5
- ติดทน : 4/5
- ควบคุมความมัน : 3.5/5
- ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 4/5
ซื้อต่อรึเปล่า? : ไม่ซื้อ เพราะไม่คุ้มราคาเท่าไร แต่อาจไปซื้อรองพื้น Dior ที่เป็นไลน์ Forever เหมือนกันไว้แล้ว ไว้จะมารีวิวให้อ่านกันนะคะ
สรุป
ถ้าเพื่อนๆชอบแบบธรรมชาติมากๆ บางเบา,สบายผิว,แต่ก็ยังพรางรูขุมขน,เบลอร่องรอยต่างๆบนใบหน้า ผิวสวยแบบจับไม่ได้ว่าโบ๊ะ และต้องการความติดทนก็เลือก Dior แต่ถ้าชอบปกปิดขึ้นมาหน่อย,ชอบผิวผ่องเด้ง,กระจายแสงดีมาก ปรับผิวให้สวยขึ้นอีกหลายสเต็ป ให้เลือก Sulwhasoo
"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ"