7.29.2560

Review : คุ้มรึเปล่ากับคุชชั่นราคาแพงๆ : Dior Forever Perfect Cushion // Sulwhasoo Perfecting Cushion Brightening

สวัสดีค่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ Merlinnee ซึ่งเจ้าของบล็อกเป็นคนคลั่งคสอ.มาร่วมสิบปี จนปัจจุบันเวลาจะซื้ออะไรรวบรวมสติดีขึ้น(กล้าพูดนะ 555) ถ้าใครกำลังกำเงินเพื่อไปซื้อคุชชั่น อยากให้อ่านตรงนี้ก่อนค่ะ เพื่อตั้งสติ เผื่อจะได้เซฟเงินของเพื่อนๆ
  • คุชชั่นถ้าเราทาทุกวัน สองเดือนก็หมดแล้ว ถ้ามีรีฟิลแถมมาด้วยก็เพิ่มอายุการใช้งานได้อีกนิดแต่ในพวกไฮเอนด์แบรนด์สายฝอทั้งหลายเค้าจะไม่แถมรีฟิลมาด้วย นั่นหมายความว่าเงิน 2 พันกว่าบาท ถ้าเอาไปซื้อรองพื้นในราคาเท่าๆกันกับคุชชั่น รองพื้นใช้ได้นานเกือบปี แต่ถ้าซื้อคุชชั่นใช้แป๊บเดียวก็หมด ที่สำคัญคุชชั่น Hi End ทั้งจาก ยุโรป,อเมริกา ล้วนผลิตที่เกาหลีเกือบหมด  ในขณะที่รองพื้นก็ผลิตที่ประเทศของแบรนด์ ไม่ว่าจะฝรั่งเศส,อิตาลี,อเมริกา, ฯลฯ ดังนั้นความคุ้มราคาของคุชชั่น ถ้าเทียบกับรองพื้นถือว่าไม่ผ่าน
  • ถึงเราดูซีรีส์เกาหลีแล้วจะเคลิ้มไปกับความฉ่ำวาวของทั้งพระเอก นางเอกแค่ไหน แต่ได้โปรดอย่าลืมว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน(มาก) คุชชั่นโดยมากเค้าจะผสมน้ำมันที่ทำให้หน้าวาว ซึ่งใครผิวมันมากควรลองดีๆก่อนเสียทรัพย์ ไม่งั้นเมคอัพอาจพังมากกว่าปัง
  • ถ้าเป็นสิวง่าย ควรหลีกเลี่ยงคุชชั่น เพราะพัฟซักยาก ยิ่งบ้านเราร้อนจนเหงื่อไหล มีฝุ่นและควันอีก คงจะทำให้เกิดสิว ถ้าจะควักมาตบๆเติมๆระหว่างวัน
  • ใครที่ผิวมันขั้นเทพ คุชชั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถ้าเพื่อนๆลองพลิกฟองน้ำคุชชั่นดู จะรู้ว่าเนื้อคุชชั่นมีความหนืด และผสมน้ำมัน ดูข้นน้ำมันบอกไม่ถูก ถ้าหน้ามันควรซื้อรองพื้น คุชชั่นไม่เวิร์คเท่าไร

พูดกันขนาดนี้ใจเย็นๆค่ะ อย่าเพิ่งปิดหนี คุชชั่นที่เราจะนำมารีวิวต้องมีดีพอสมควร เราถึงเสียเงินซื้อ และหยิบมารีวิว โดยการรีวิวจะยึดการใช้แป้งฝุ่นเซ็ทคุชชั่น อากาศเมืองไทยคงไม่รอดถ้าทาคุชชั่นเพียวๆ


สีผิวเรา : NC 20-25 สภาพผิว : ผิวผสม ทีโซนมัน ข้างแก้มแห้ง

ขอเริ่มจากสายเกาหลีที่เป็นต้นกำเนิดคุชชั่น เราเคยใช้ Sulwhasoo รุ่น Perfecting  ที่ออกมาเป็นตัวแรกของเค้า รู้สึกมันปกปิดมาก ดูหนาไปสำหรับเรา เกริ่นมายาวเหยียด เริ่มรีวิวกันดีกว่า ตัวนี้ซื้อเพราะเค้าเคลมว่าบางเบาและคุมมันกว่ารุ่นเก่า


"Sulwhasoo Perfecting Cushion Brightening"

ราคา 2,100 บาท (Made in Korea)



  • ได้รีฟิลคุชชั่นและพัฟมาด้วยอีกชุดตามสไตล์แบรนด์เกาหลี 
  • สีคุชชั่น เราใช้เบอร์ 23 ออกโทนเหลือง เลือกคุชชั่นเกาหลี ต้องระวังหน้าเทามากกว่าหมองค่ะ เพราะทำกันขาวมากๆ เอาจริงๆสีนี้สว่างกว่าผิวเรานิดนึงนึง แต่เบอร์ 25 ก็คล้ำไป

รูปตอนเพิ่งซื้อ ปัจจุบันเลอะเทอะมาก

เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น

เนื้อเบา ทาแล้วสม่ำเสมอดี พอเสร็จเอามือกดๆหน้า เหมือนมีความหนึบบนผิวนิดๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรบนหน้า ไม่หนักหน้า สบายผิวมากๆ เซ็ทด้วยแป้งฝุ่นแล้วไม่เป็นคราบ กลิ่นของคุชชั่นไม่ใช่โสมแบบรุ่นเก่า แต่เป็นกลิ่นเลมอน ซึ่งตอนแรกๆเกลียดกลิ่นมาก แล้วกลิ่นมันติดบนหน้านาน ได้กลิ่นหลายชั่วโมง หลังๆชิน พัฟนุ่มและยืดหยุ่นมีความไฮเอนด์ เอาไปซักแล้วไม่ยุ่ยไม่เละ 


การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว

ปกปิดระดับปานกลาง เมื่อทาตอนแรกคุชขั่นหลอมละลายไปกับผิว ไม่หนาหลอก ไม่โดดออกจากหน้า ดูธรรมชาติให้ลุคกึ่งแมตกึ่งซาติน ผิวมีความแมตแต่คุชชั่นมีการกระจายแสงดีมาก ให้ความดิวอี้ปานกลาง ไม่ถึงขั้นหน้าเปียก มีการกลบและพรางรูขุมดีขนๆมาก ทาแล้วรูขุมขนดูเล็กลงชัดเจน เบลอร่องรอยอารยธรรมต่างๆได้ดี ไม่ตกร่องใดๆทั้งรูรุมขนและริ้วรอย คุชชั่นตัวนี้ทำให้ผิวดูผ่องเด้งกว่าคุชชั่นที่เคยใช้ Brightening สมชื่อ เป็นคุชชั่นที่ทาแล้วได้ผลลัพธ์ผิวสวยจริงๆ

ระหว่างวันผิวดูดิวอี้ขึ้น แต่ไม่ได้มันเยิ้ม ซับมันดูพบว่ามีน้ำมันแค่ช่วงทีโซนออกมาแบบปกติ ส่วนข้างแก้มก็ปกติไม่มันขึ้น คุชชั่นไม่ได้ทำให้หน้ามัน ใช้แล้วหน้ามันช้าลงด้วยซ้ำ ความดิวอี้ที่เห็นไม่ได้เกิดจากน้ำมันของคุชชั่นหรือความมันของผิว แต่เกิดจากเอฟเฟกต์การกระจายแสงของคุชชั่น 


คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 4/5
  • ปกปิด : 3.5/5
  • ความธรรมชาติ : 4/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 4.5/5
  • ติดทน : 4/5
  • ควบคุมความมัน : 3/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 5/5

ซื้อต่อรึเปล่า? : ถ้าไม่มีรองพื้นในกรุงอกมากเกินไป อาจจะซื้อค่ะ




"DIORSKIN FOREVER PERFECT CUSHION"
ราคา 2,100  บาท   (Made in Korea)





  • เซ็งที่ไม่ได้รีฟิลและพัฟแถมอีกชุด เหมือนคุชชั่นเกาหลี 
  • ไม่มีซองผ้าแบบเวลาซื้อพวกแป้ง,บลัช, Eyeshadow ของ Dior
  • เราใช้เบอร์ 021(Linen) ออกโทนเหลือง พอดีผิวมากๆ กลืนกับสีผิวธรรมชาติผิวมากกว่า Sulwhasoo 

รูปตอนเพิ่งซื้อ ปัจจุบันเลอะเทอะมากไม่ต่างกับ Sulwhasoo

เนื้อสัมผัส, พัฟ, กลิ่น

เนื้อคุชชั่นบางเบา เบลนด์ง่าย สม่ำเสมอดี เซ็ทตัวเร็วว่าคุชชั่นทั่วไป  กลิ่นน้ำหอมฟลอรัลแบบสไตล์ดิออร์แรงมาก ทาบนผิวแล้วเอามือแตะหน้ามีความหนึบเล็กๆ แต่น้อยกว่า Sulwhasoo  ไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรบนหน้า สบายผิวสุดๆ ที่เราไม่ปลื้มเลยคือพัฟแข็งมาก ไม่มีความยืดหยุ่น ถ้าเทียบกับ Sulwhasoo แถมพอเอาไปซักครั้งแรก ก็เละและยุ่ย ทั้งๆที่ซักเบามือ ไม่ได้ขยี้เลย บีบเบาๆไล่น้ำออกเท่านั้น ทำเอาไม่กล้าซักเท่าไร


การปกปิดและผลลัพธ์บนผิว

ปกปิดระดับน้อย บิวท์ก็ไม่ถึงปานกลาง  เมื่อแรกทาให้เอฟเฟกต์แมตบนผิว แต่มีการกระจายแสงดี ทำให้หน้าดูไม่แบน เนื้อคุชชั่นบางเบามาก บางเบากว่า Sulwhasoo อีก แต่มันน่าทึ่งที่ระดับการปกปิดที่น้อยขนาดนี้ กลับสามารถทำให้ผิวดูเรียบเนียน และเบลอรูขุมขน และอารยธรรมบนใบหน้า คุชชั่นธรรมชาติมากจริงๆ แต่ก็ทำให้ผิวสวยแบบหลอมรวมกลืนไปกับผิว ในส่วนของความผ่องเด้ง Sulwhasoo ชนะ ถ้าความธรรมชาติ Dior ชนะ เรียกได้ว่าเป็นคุชชั่นงานผิวจริงๆ

ระหว่างวันผิวดูโกลวมากขึ้น โกลวแบบกำลังดี ไม่มากหรือน้อยไป ตรงข้างแก้มที่ผิวแห้งยังแมตอยู่ แต่ตรงทีโซนที่มันจะมีความเหนียวๆหนึบๆ แต่ใช้ซับมันน้อยกว่าปกติ พอซับมันแล้วก็กลับมาเฟรชเหมือนเดิม โดยรวมคือซับมันแล้วกลับมาดูแมตเหมือนเดิม


คะแนน 
  • เนื้อเกลี่ยง่าย สบายผิว : 5/5
  • ปกปิด : 2/5
  • ความธรรมชาติ : 5/5
  • ฟินิชลุคบนผิว : 4/5
  • ติดทน : 4/5
  • ควบคุมความมัน : 3.5/5
  • ความพอใจ ความชอบส่วนตัว : 4/5
ซื้อต่อรึเปล่า? : ไม่ซื้อ เพราะไม่คุ้มราคาเท่าไร แต่อาจไปซื้อรองพื้น Dior ที่เป็นไลน์ Forever เหมือนกันไว้แล้ว ไว้จะมารีวิวให้อ่านกันนะคะ


สรุป 

ถ้าเพื่อนๆชอบแบบธรรมชาติมากๆ บางเบา,สบายผิว,แต่ก็ยังพรางรูขุมขน,เบลอร่องรอยต่างๆบนใบหน้า ผิวสวยแบบจับไม่ได้ว่าโบ๊ะ และต้องการความติดทนก็เลือก Dior แต่ถ้าชอบปกปิดขึ้นมาหน่อย,ชอบผิวผ่องเด้ง,กระจายแสงดีมาก ปรับผิวให้สวยขึ้นอีกหลายสเต็ป ให้เลือก Sulwhasoo




"ทั้งนี้ทั้งนั้นการรีวิวนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเราคนเดียว 
ซึ่งผลลัพธ์หรือความชอบในการใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม  
ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพผิว และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ"

7.20.2560

Anti haul! เครื่องสำอางและสกินแคร์อะไรบ้างที่จะไม่ซื้อ Sulwhasoo, DIOR, CHANEL, Fresh

สวัสดีค่ะ หัวข้อนี้ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก Kimbery Clark (Youtube Channel ของ Kimberly) ที่มีคำพูดติดปากและเป็นหัวข้อที่ดังชื่อว่า Anti haul! What I'm not gonna buyหนึ่งในบล็อกเกอร์ต่างชาติที่เราชอบมาก เค้าดังมากในการทำคลิป Anti haul ซึ่งจะคนละขั้วกับ Haul ที่เอาของที่ Shopping มาเห่อ ส่วน Anti haul จะประมาณว่า มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่จะไม่ซื้อ พร้อมเหตุผลค่ะ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะไม่ซื้อ ในฐานะผู้บริโภคที่มีสิทธิ์เลือก
ต่อมาบล็อกเกอร์บ้านเราที่ทำหัวข้อ Anti haul คือคุณสาลี่ MaiRuuDee ซึ่งคุณสาลี่คือบล็อกเกอร์ที่เราชอบและติดตามมาต่อเนื่อง เธอคือบล็อกเกอร์ที่ผู้บริโภคแบบเราๆต้องการและควรติดตาม คุณสาลี่รีวิวของต่างๆแบบตรงไปตรงมา และพูดรู้เรื่องเข้าใจ ดูแล้วเอามาประกอบการตัดสินใจได้
เราว่าเอาจริงๆทั้ง Kimbery และคุณสาลี่ เค้าเซฟเงินคนที่ดูคลิปเค้านะคะ ให้ไม่ต้องเสียเงินไปกับของที่ไม่เข้าท่า เราก็หวังว่า Anti haul จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าตังค์เพื่อนๆ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเงินมากเกินความจะเป็นนะคะ

1. Sulwhasoo Perfecting Intense Cushion


เราเป็นแฟนสกินแคร์ (ชอบสบู่ล้างหน้ากับซีรั่ม) และคุชชั่น Sulwhasoo รุ่น Perfecting brightening ซึ่งทาแล้วผิวสวยมาก รวมถึงเมคอัพชิ้นอื่นๆของ Sulwhasoo แต่คุชชั่นรุ่นนี้ที่เค้าเคลมว่ามีสารบำรุงเรื่องริ้วรอย เราไม่เคยคิดจะซื้อเลย หลักๆคือราคา มันไม่โอเคสำหรับเราที่จะซื้อคุชชั่นราคา 2,700 บาท ที่เคลมว่ามีสารบำรุง ซึ่งเราควรเอาเงิน 2,700 บาทไปซื้อของมาบำรุงผิวไปเลย ดีกว่าจะมาหวังการบำรุงจากคุชชั่น ซื้อ First Care Serum ของ Sulwhasoo ก็ได้ ต่อมาคือราคาระดับนี้เราเอาไปซื้อรองพื้นดีๆไปเลยจะดีกว่า ปริมาณคุชชั่นนี่ถ้ารวมรีฟิล 2 อัน ใช้ทุกวัน 3-4 เดือนก็หมดแล้ว (เผลอๆหมดก่อนนั้น) แต่เชื่อว่ารองพื้นขวดนึงใช้ได้นานกว่าคุชชั่นแน่นอน และมีรองพื้นในตลาด ที่ดีมากๆๆ ในราคาที่ไม่แพงขนาดนี้แน่นอน สรุปสำหรับ Sulwhasoo ถ้าจะซื้อรุ่น Perfecting brightening เราแนะนำมากๆ จะมารีวิวให้อ่านเร็วๆนี้ค่ะ แต่สำหรับรุ่น Perfecting Intense Cushion เราคงต้องขอโบกมือปฏิเสธที่จะซื้อ
2. Dior Lip Tattoo


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเราชอบอะไรจากดิออร์ก็มาก เช่น น้ำหอม, คุชชั่น, รองพื้น แต่ลิปทิ้นอันนี้เป็นของที่เราไม่คิดจะซื้อตั้งแต่ออกมา อย่างแรกคือเราสังเกต Peter Philip ที่เป็น Directer ของ DIOR หลังๆมานี้ เค้าได้รับอิทธิพลมาจากเทรนด์เกาหลีหลายอย่าง เราจะเห็นจากสีสันของลิปสติก รุ่น  Dior Addict Lacquer Stick สี 674 K-Kiss ซึ่งปีเตอร์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเกาหลีค่ะ  (อ้างอิง) ซึ่งรู้กันว่ามีแบรนด์เกาหลีทำลิปสติกสีประมาณนี้แบบนีเยอะมาก

ต่อมาคือเราโอเคที่จะจ่ายเงินให้กับลิปแมตดีๆและลิปสติกราคาแพง เพราะเราเคยใช้ทั้งไฮเอนด์ และดรักสโตร์ คุณภาพต่างกันค่อนข้างชัด ซึ่งลิปตัวนี้ชื่อก็บอกว่าเป็น Lip Tint ซึ่งเราโอเคและชอบมากๆ ไม่มีปัญหาอะไรกับทิ้นของเกาหลี เราชอบด้วยซ้ำ ทั้งสี ทั้งความติดทน ทำออกมาได้ดีมากๆ คือเกาหลีเค้าผลิตTint กันมาสิบๆปีแล้ว ซึ่งส่วนมากราคาไม่แพง แถมใช้ดีด้วย บ้านเราเอง ผู้บริโภคก็ใช้ Tint กันมาเป็นสิบปีๆเช่นกัน มันทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมฉันต้องตื่นเต้นกับการที่ Dior เพิ่งออก Lip Tint มาสู่ตลาดในปี 2017 นี้ด้วย

ที่สำคัญเราอ่านรีวิว Sephora อเมริกา คะแนนเสียงแตก มีทั้งคนชอบและไม่ชอบแบบชัดเจน คะแนนถือไม่ได้มาก พูดในแง่คนที่ไม่ชอบ เท่าที่อ่านรีววิวมาคือ สีไม่สม่ำเสมอ ติดไม่ทน ซี่งเราได้มีโอกาสดูคลิปสวอชสีใน Youtube ลิ้งนี้ เราก็ยิ่งไม่อยากได้ เพราะเนื้อเมื่อปาดมาแล้วมันเหลว และสีก็ไม่สม่ำเสมอกันค่ะ


3. CHANEL LES BEIGES HEALTHY GLOW GEL TOUCH FOUNDATION (Cushion)



กระแสคุชชั่นมันทำเราฟ่อ ไม่ตื่นเต้นเลย ชาแนลไปอยู่ไหนมาเพิ่งมาทำ และเคาะราคามาแพงมากที่ 2,400 บาท (ที่ประเทศต้นฝรั่งเศส 43 ยูโร) ซึ่งต้องจ่ายให้กับคุชชั่นที่ใช้แค่เดือนสองเดือนก็หมด ถ้าใช้ทุกวัน เรามีโอกาสคุยกับเพื่อนที่ซื้อคุชชั่นตัวนี้ เลยรู้สึกส่วนตัวว่าแพ็คเกจขาดความปราณีต ไม่มีซองกำมะหยี่แบบเวลาซื้อแป้งผสมรองพื้น บลัชออน หรืออายแชโดว์ รวมถึงเนื้อคุชชั่นเลอะเทอะเปรอเปื้อนมากๆบนตลับ ดูภาพความเลอะเทอะรวมถึงรีวิวได้ใน ลิ้งนี้ และ ลิ้งนี้ ส่วนในแง่ความคุ้มค่าก็ไม่มีรีฟิลให้อีกอันแบบแบรนด์เกาหลี

หลังๆเราเมิน CHANEL เพราะมีหลายแบรนด์น่าสนใจกว่ามาก และกระแสรีวิวในต่างประเทศค่อนไปทางเฉยๆ บางอันค่อนไปทางไม่ดี เช่น บลัช รองพื้น แป้งผสมรองพื้น แต่ก็มีตัวเด่นๆชูโรงคือ แป้งฝุ่น (อันนี้ดีจริง) ลิปสติก (ดีเช่นกัน) บรอนเซอร์ (อยากลองมากๆ) แต่ที่เราเมินคือราคาเครื่องสำอางชาแนลเมืองไทย overprice มาก เราเคยเป็นแฟนแป้งผสมรองพื้นและรองพื้นบางรุ่น ตั้งแต่สมัยราคา 1,900 บาท จนปัจจุบัน ราคาขึ้นเป็น 2,600-2,900 บาท เครื่องสำอางชาแนลบ้านเราปรับราคาขึ้นทุกปี ในอัตราก้าวกระโดดกว่าประเทศต้นทาง ไม่ว่ามันไม่แฟร์กับผู้บริโภค สมมุติเราเป็นแฟนประจำอะไรซักอย่างหมดแล้วซื้อๆซ้ำๆคุณภาพเท่าเดิม แต่ราคาขึ้นเอาๆทุกปี นอกจากนี้ชาแนลบ้านเรามีการตั้งราคางงๆ โดดไปโดดมาจากประเทศฝรั่งเศส เช่น รองพื้นบางตัวรุ่นนึงถูกกว่าอีกรุ่น แต่เคาะราคามาขายบ้านเรา กลับขายราคาเท่ากัน (แน่นอนแพงและขึ้นราคารัวๆทุกปี) ทำให้หลังๆเราก็ไม่ได้ซื้ออะไร CHANEL เท่าไร
4. fresh ROSE FACE MASK
เราคาดหวังกับมาร์สตัวนี้มาก เพราะหนึ่งเราชอบกลิ่นกุหลาบ สองกระแสแรงมากๆ แต่หลังจากได้ลองจากเทสเตอร์มาร์สรุ่นนี้ ซึ่งกดเลือกจากของแถมมาถึงสองครั้ง เพื่อความชัวร์ ตอนซื้อของจาก Sephora Online มาร์สสิ่งนี้เคลมว่าใช้แล้วผิวจะชุ่มชื้น ผิวกระจ่างใส เราใช้แล้วความชุ่มชื้นไม่เกิดขึ้นบนผิวหน้าเราเลย กับราคาที่สูงถึง 2,450 บาท กับแพคเกจที่มีรักษาความสะอาดไม่ได้ และไม่ได้เกิดผลลัพธ์มิราเคิลใดๆบนผิว เราก็ต้องปฏิเสธที่จะซื้อ นี่แหละเป็นข้อดีของเทสเตอร์ สามารถเซฟเงินในกระเป๋าเราได้มากๆๆ
จบแล้วค่ะ ส่วนนึงบทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเรา ถ้ามีเพื่อนๆคนไหนใช้ของเหล่านี้ที่เรากล่าวถึงแล้วชอบ ก็ดีใจกับเพื่อนๆ เป็นผลดีกับเพื่อนๆ แต่สำหรับเรา เราเองก็มีจุดยืนที่จะไม่ซื้อพร้อมกับเหตุผลที่ได้กล่าวไป หวังว่า Anti-Haul จะเป็นประโยชน์กับเงินในธนาคารของเพื่อนๆ ในฐานะที่เราเป็นผู้ซื้อหรือผู้บริโภค เราอยู่ในยุคที่มีอะไรมาสะกดจิตเราให้บริโภค ให้ซื้อของได้ง่ายๆ อยากให้เพื่อนๆตัดสินใจดีๆด้วยตัวเอง มากกว่าจะพุ่งตัวไปซื้อเพราะมีคนมาบอกให้ซื้อ(นอกจากเค้าจ่ายเงินให้เราซื้อก็ว่าไปอย่าง) ก่อนจะซื้ออะไรควรลองก่อนจะซื้อ ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านนะคะ

ทุกรูป เครดิตจากเว็บไซค์ของแต่ละแบรนด์เองค่ะ